เราคงจะคุ้นชินกับการรับรู้ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงในแทบทุกด้าน ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนเกิดขึ้นค่อนข้างมาก และดูเหมือนระยะห่างนี้ยิ่งกว้างขึ้นทุกวัน หนึ่งในความเหลื่อมล้ำที่ก่อให้เกิดปัญหา คือ เรื่องของการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาหนึ่งในสิ่งที่ได้รับการพูดถึงกันค่อนข้างมากเกี่ยวกับการจัดการด้านทรัพยากรธรรมชาติ คือ การนำเสนอโมเดลแก้ปัญหาเกษตร 'กระดุม 5 เม็ด' ของคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ ที่ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาลต่างก็เห็นด้วยเป็นจำนวนมากที่มองว่าปัญหาหลักของเกษตรกรไทย คือ เรื่องของการเข้าถึงทรัพยากรที่ดิน จนกระทั่งล่าสุดเมื่อวันที่ 31 มกราคมที่ผ่านมา คุณพิธาได้หยิบยกปัญหาด้านที่ดินขึ้นมาอภิปรายในรัฐสภาอีกครั้ง ในเรื่องของ "ปัญหาที่ดินทำกินของราษฎรทับซ้อนในเขตที่ดินของรัฐ และการแก้ปัญหาที่ดินทั่วประเทศ" พร้อมเสนอแนวทาง "จินตนาการใหม่กับที่ดินไทย" ให้รัฐบาลพิจารณา
จากการที่รัฐบาลต้องการเพิ่มสัดส่วนพื้นที่ป่าไม้ในประเทศไทยให้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 40 ในระยะเวลา 10 ปี จากปัจจุบันที่มีอยู่ร้อยละ 31 จึงได้มีการกำหนดแผนแม่บทการพิทักษ์ทรัพยากรป่าไม้ขึ้นมาทำให้เกิดผลกระทบและมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับที่ดินทำกินของประชาชนเป็นจำนวนมาก
โดยเฉพาะข้อกังขาในเรื่องมาตรฐานการดำเนินคดี การบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับที่ดินที่ทับซ้อนกับแนวเขตที่ดินของรัฐ ซึ่งปัจจุบันมีการดำเนินคดีชาวบ้านเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวจำนวนมากกว่า 80,000 คดี ตรงนี้ถือเป็นสิ่งที่กระทบเสรีภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง
คุณพิธากล่าวว่า ในอดีตที่ผ่านมา หากย้อนไปพ.ศ.2436 กรมป่าไม้ถูกจัดตั้งเป็นครั้งแรกโดยมาเจ้ากรม หรืออธิบดีเป็นคนประเทศอังกฤษ แนวทางจัดการป่าไม้ในประเทศไทยจึงมีแนวคิดมาจากตะวันตก
นอกจากนี้ ในอดีตยังเชิญบุคลากรในแถบสแกนดิเนเวียมาศึกษาปัญหาที่ดินและป่าไม้ในช่วงเวลานั้นอีกด้วย ซึ่งสาระสำคัญจากคำแนะนำของชาวอังกฤษและชาวสแกนดิเนเวีย คือการสร้างแผนจัดการป่า เพื่อที่จะรวมศูนย์อำนาจกลับมาจากเจ้าเมืองต่างๆ ในภาคเหนือ ซึ่งเนื้อหาใจความสำคัญของคำแนะนำคือ ให้รัฐบริหารป่าแนวอนุรักษ์ และแนวอรรถประโยชน์นิยม จากหน้าประวัติศาสตร์ของกรมป่าไม้เขียนไว้ดังนี้
" รัฐควรจัดการป่าไม้เสียเอง ไม่ควรปล่อยให้มือของเอกชนคนใดคนหนึ่ง ฉะนั้นป่าไม้สักอันมีค่าของไทย ควรโอนมาดูแลควบคุมของรัฐบาลโดยสิทธิ์ขาด"- นี่คือความคิดในสมัยนั้นว่ารัฐเป็นเจ้าของสัมปทานและควรได้ประโยชน์สูงสุดจาดป่าไม้ที่ประเทศไทยมี
ในพ.ศ.2484 พ.ร.บ.ป่าไม้ฉบับแรกได้กำเนิดขึ้น และนิยามป่าไม้ที่อยู่ใน พ.ร.บ.ฉบับนั้นเขียนเอาไว้ว่า 'ที่ดินที่ยังไม่ได้มีบุคคลได้มาตามกฎหมายที่ดินถือว่าเป็นป่าไม้'
นั่นหมายความว่าที่ดินที่ยังไม่มีเอกสารสิทธิ์นับว่าเป็นป่าไม้หมดทั่วทั้งประเทศ ต่อมา พ.ศ.2502 รัฐบาลในสมัยนั้นได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา มาช่วยการจัดการอุทยานในประเทศไทย ซึ่งวิธีคิดวิธีบริหารอุทยานในสมัยนั้น มีหนังสือบันทึกไว้ว่า มีกลิ่นอายของความเป็นสงครามเย็น มีสไตล์ที่เหมือนทหาร และอาจจะมีความเหยียดเชื้อชาติอยู่ในนั้น ซึ่งนี่ก็เป็นแนวทางวิธีคิดของอเมริกาในยุคสมัยนั้น
ต่อมาปี พ.ศ.2507 พ.ร.บ.ป่าสงวน ได้กำเนิดขึ้น เปลี่ยนจากการให้สัมปทานกับต่างประเทศ มาให้สัมปทานในท้องถิ่นแทน รัฐไทยกลายเป็นผู้รับเหมาสัมปทานใหญ่ เริ่มมีการจัดโซนของป่าเสื่อมโทรมให้กลายเป็นป่าเศรษฐกิจ นั่นคือจุดเริ่มต้นของการปลูกยูคาลิปตัส สวนยางหรือต้นปาล์ม เพราะฉะนั้น ปีพ.ศ.2439-2507 ป่าไม้ในภาคเหนือ ผ่านการสัมปทานมาถึงสองครั้ง คือสัมปทานจากต่างประเทศและสัมปทานในท้องถิ่น สภาพป่าแทบจะไม่หลงเหลืออยู่ เกิดการใช้ป่าโดยไม่คำนึงถึงการอนุรักษ์ จนกระทั่ง พ.ศ.2532 เกิดเหตุดินถล่มที่ภาคใต้ น้ำท่วมในเขตที่ไม่เคยท่วมมาก่อน จากนั้นเกิดกระแสต่อต้านจากสังคมทำให้สัมปทานดังกล่าวจึงหยุดไป
ในปี พ.ศ.2540 ประชาชนโต้กลับ โดยการเสนอสิทธิชุมชนในการบริหารจัดการ ผ่าน พ.ร.บ.ป่าชุมชน แต่แล้วสาระสำคัญก็ถูกตัดออกไปจาก พ.ร.บ. และเมื่อกฎหมายออกมาสามารถบังคับใช้ได้แค่กับป่าสงวนที่เสื่อมโทรม แต่ป่าที่เหลืออีกทั้งประเทศ ไม่สามารถใช้สิทธิชุมชนในการบริหารจัดการได้ และต่อมาปี พ.ศ. 2557 ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้ง คำสั่งของ คสช. หรือแนวคิดที่เรียกว่าทวงคืนผืนป่า เพื่อที่จะให้เป้าหมายในการที่มีป่าเพียง 31 เปอร์เซ็นต์ กลับมาเป็น 40 เปอร์เซ็นต์อีกครั้งหนึ่ง และทั้งหมดนี้คือแนวทางในอดีตของประเทศไทย ในการจัดการป่าไม้แบบตะวันตกแบบสแกนดิเนเวีย แบบอังกฤษ แบบอเมริกา จนกระทั่งเป็นปัญหาถึงทุกวันนี้
สถานการณ์ปัจจุบันเต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ และความอยุติธรรม จาก 320 ล้านไร่ในประเทศไทย เป็นของรัฐ 57 เปอร์ อีก 43 เปอร์เซ็นต์ เป็นของเอกชน ที่มีโฉนดเพียงไม่กี่เจ้า ถ้าเรานำที่ของรัฐที่กระจัดกระจายอยู่ตามกระทรวงต่างๆ ทั้งหมดมารวมกัน วันนี้ ไทยจะมีพื้นที่ 464 ล้านไร่ ถ้าเรานำภาคเอกชนที่รวยที่สุด 10 เปอร์เซ็นต์ มาเปรียบเทียบกับคนยากจนที่สุด 10 เปอร์เซ็นต์ ของประเทศไทย อัตราการครองกรรมสิทธิ์ต่างกัน 853 เท่า คนรวยที่สุด 10 เปอร์เซ็นต์ ถือครองที่ดินรวมกัน 95 ล้านไร่ คนยากจนที่สุดในประเทศ 10 เปอร์เซ็นต์ มีพื้นที่รวมกัน 68,000 ไร่ - นี่คือความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
คุณพิธากล่าวสรุป คือ ..."ความพยายามแยกคนออกจากป่า ยังมีผลพวงตามมาในรูปแบบของคดีความกว่า 80,000 คดี ผมสงสัยว่า อาจจะเป็นลำดับที่ 2 รองจากคดียาเสพติด ที่เป็นข้อพิพาทระหว่างรัฐกับประชาชน ทั้งนี้ สิทธิที่ดินทำกินไม่ควรที่จะเป็นอาชญากรรมในประเทศนี้ การสนธิกำลังเข้าไปปราบประชาชนเหมือนเป็นศัตรู ควรจะยุติได้แล้ว รวมไปจนถึงคดีความต่างๆ ควรจะยุติได้แล้ว ในขณะที่ประชาชนถูกทวงคืนผืนป่า แต่เอกชนหรือนายทุน กลับได้รับการอำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็นเหมืองหรือเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยเฉพาะเหมืองในเขตป่าสงวน ยังคงได้รับการอำนวยความสะดวกอยู่ เขตเศรษฐกิจชายแดนสามารถใช้ที่ดินได้ถึง 50 ปี ถ้าเป็นในเขต EEC สามารถใช้ที่ดินได้ถึง 99 ปี แต่หากเป็นพี่น้องประชาชนที่มาจากเขตอุทยาน ใช้ที่ดินได้เพียง 20 ปี ความเหลื่อมล้ำเหล่านี้ ความอยุติธรรมเหล่านี้ควรจะยุติลงเสียได้แล้ว เพราะเป็นการสวนกระแสการพัฒนาของโลกอย่างสิ้นเชิง"
คุณพิธาได้นำเสนอแนวทางสำหรับการจัดการที่ดินว่า ...สำหรับในอนาคต ในโลกใบใหม่ ทรัพยากรธรรมชาติและสิทธิมนุษยชน ต้องเป็นของที่คู่กันแบบที่แยกออกจากกันไม่ได้ หมดยุคแล้วกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน ในนามของคำว่าอนุรักษ์
โลกกำลังเปลี่ยนไป ประเทศไทยก็จะต้องการบริหารจัดการทรัพยากรด้วยเช่นเดียวกัน ในโลกแห่งอนาคต แนวคิดจะต้องเปลี่ยนจากคำว่า ป่าปลอดคน หรือจะเรียกให้ชัดกว่าเดิมคือ ป่าปลอดคนจน ให้เปลี่ยนเป็น ปลูกคนเพื่อให้ปลูกป่า ในการที่เราจะพูดถึงอนาคตหรือจินตนาการใหม่ๆ ในขณะที่ผ่านมารัฐไทยมัวแต่กำลังทวงคืนผืนป่าจากพี่น้องประชาชน แต่ไม่เคยมองดูตัวเองเลยว่า ที่ดินของรัฐมีมากมายขนาดไหน ไม่เคยหันกลับไปมองเลยว่า ที่ดินของนายทุนมีมากเท่าไร หรือที่ดินของทหารมีมากเท่าใด
ทุกวันนี้รัฐไทยถือครองที่ดินถึง 57% ทำให้กลับมาคำถามที่ว่า ชาติคืออะไร? ชาติคือประชาชน หรือ ชาติคือรัฐ ในขณะที่เราเคยนับหน้าถือตาประเทศอเมริกาตอนนี้ในประเทศอเมริการัฐถือครองที่ดินเพียง 35 % ของทั้งประเทศ ในส่วนที่ดินในแถบสแกนดิเนเวีย รัฐถือครองที่ดินเพียง 15 เปอร์เซ็นต์ และประเทศอังกฤษรัฐถือครองที่ดินเพียง 6 เปอร์เซ็นต์-ผมมีคำถามต่อไปยังเพื่อสมาชิกและรัฐบาลว่ารัฐไทยจะมีที่ดินเยอะแยะมากมายขนาดนี้โดยที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ไปเพื่ออะไร?
ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ป่า 31 % สัดส่วนการถือครองป่าของรัฐไทย เกือบจะ 100% แต่ในส่วนของประเทศที่พัฒนาแล้ว การถือครองที่ดินในเขตป่าอยู่ในมือของบุคคลทั่วไปและภาคเอกชนมากกว่า 97% ในประเทศสวีเดน และ มากกว่า 70% ในประเทศอเมริกา ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่า ประเทศจากโลกตะวันตกที่เคยมาสอนในการจัดการหรือวิธีการบริหารที่ดินให้กับประเทศไทย ทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงการบริหารไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ความก้าวหน้าในการบริหารหรือสิทธิชุมชนของประเทศในโลกตะวันตกได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว
ท้ายที่สุดแล้ว คุณพิธากล่าวสรุปว่า ...จินตนาการใหม่ของผมก็คือ การที่มองไปถึงปลายทางของอุโมงค์ว่า ในการที่เราจะปฏิรูปที่ดินในการที่เราจะคิดถึงความยุติธรรมในการกระจายที่ดิน เราต้องมีภาพที่บอกขึ้นมาว่า ภายใน 20 ปี หน้าตาควรจะเป็นอย่างไร สิ่งที่เราขาดหายในการบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสังคม ทรัพยากร สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ คือเราต้องเพิ่มความเป็นเอกชนและความเป็นชุมชนขึ้นมา
ถ้ารัฐบาลไทยตรวจสอบแล้วเห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินมากมายขนาดนี้อีกต่อไป ถ้าเราดึงที่ดินเหล่านี้กลับคืนมากว่า 27 ล้านไร่ ซึ่งครบตามที่รัฐบาลต้องการ แล้วเปลี่ยนเป็นป่าสหกรณ์หรือป่าชุมชนให้หมด ซึ่งจะเป็นการปลูกคน เพื่อที่จะให้คนไปปลูกป่า แล้วทรัพยากรสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน ก็จะสามารถอยู่ร่วมกันได้
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด