หากพูดถึงเวที Hackathon ที่นักพัฒนาไทยเฝ้ารอ ชื่อของ LINE HACK ย่อมติดอยู่ในอันดับต้นๆ เสมอ และในปี 2025 งานก็ได้เดินทางมาถึงครั้งที่ 6 ด้วยรูปแบบและเป้าหมายใหม่
ซึ่ง Techsauce ได้มีโอกาสสัมภาษณ์คุณวีระ เกษตรสิน รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี LINE ประเทศไทย ผู้อยู่เบื้องหลังและเป็น "พ่องาน" คนสำคัญ ถึงวิวัฒนาการของงานจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ สู่การเป็นเวทีขับเคลื่อนนวัตกรรมระดับประเทศ

คุณวีระ เล่าให้ฟังว่า LINE HACK เริ่มต้นครั้งแรกเมื่อปี 2016 โดยมีเป้าหมายที่เปลี่ยนไปตามยุคตามความต้องการของธุรกิจ
ซึ่งในช่วงแรก LINE Thailand ยังไม่มีทีมวิศวกรของตัวเอง และต้องพึ่งพาการนำโปรดักต์จากญี่ปุ่นมาปรับใช้ ทำให้ต้องจัดเวทีการแข่งขันเพื่อเฟ้นหา Talent รุ่นบุกเบิก มาร่วมสร้างทีม Engineer ชุดแรกในไทย จากกลุ่มเล็ก ๆ เพียง 15 คน จนวันนี้เติบโตเป็นทีม Developer กว่า 138 คน
และเมื่อทีมแข็งแรงขึ้น เป้าหมายของงานก็พัฒนาไปสู่การเป็นเวทีค้นหาไอเดียธุรกิจใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ตลาดไทยมากขึ้น และในปีนี้ LINE HACK เดินทางเข้าสู่ยุคใหม่ ยุคที่ไม่ได้มองแค่ Business Idea แต่ต้องการเห็น Impact หรือผลกระทบเชิงบวกที่จับต้องได้จริง พร้อมเปิดเวทีให้นักพัฒนาไทยได้ฉายแสง โชว์ของให้โลกเห็น
โจทย์ปีนี้คือการให้ผู้เข้าแข่งขันต้องเลือกอุตสาหกรรมที่สนใจ เช่น Education, Lifestyle, Health, SME มาผสานเข้ากับเทคโนโลยี LINE MINI App และ AI

คุณวีระ อธิบายว่า พฤติกรรมของคนเปลี่ยนไปแล้ว วันนี้คนเริ่มเชื่อคำตอบจาก AI มากกว่าคนด้วยกันเอง หลายคนเลือกที่จะถาม ChatGPT ก่อนถามเพื่อน ดังนั้นธุรกิจจึงต้องปรับตัว และเหตุผลที่ชู LINE MINI App เพราะมันช่วยทลายกำแพงการติดตั้งแอปฯ เนื่องจากคนไทยส่วนใหญ่ไม่อยากโหลดแอปใหม่เพิ่ม ในเมื่อทุกคนมีแอปฯ LINE ติดเครื่องไว้อยู่แล้ว LINE MINI App จึงเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ผู้ใช้เข้าถึงบริการใหม่ๆ ที่มี AI ฝังอยู่ได้ทันทีโดยไม่ต้องโหลดแอปเพิ่ม นี่จึงเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่จะช่วยให้ทั้งภาคธุรกิจและคนไทยเข้าถึงโอกาสได้ง่ายขึ้น
และในปีนี้มีผู้สมัครเข้ามาร่วมกว่า 137 ทีม โดยสถิติที่น่าสนใจคือหมวดการศึกษา เป็นหมวดที่ทั้งรุ่นนักเรียนและบุคคลทั่วไปส่งผลงานเข้ามามากที่สุด รองลงมาคือหมวด Entertainment & Lifestyle ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า Developer ไทยกำลังให้ความสนใจกับการแก้ปัญหาในจุดไหน และนี่คือโฉมหน้าของทีมที่คว้าชัยชนะและสร้าง Impact ได้ประทับใจกรรมการที่สุด


ในหมวดนักเรียน-นักศึกษา ทีมที่คว้าแชมป์ไปครองคือทีม "Find Dee" ซึ่งประกอบด้วย น้องไฟลท์ และ น้องกาย สองนักศึกษาจากคณะวิศวกรรมหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์ (Robotics & AI) สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ที่มองเห็นปัญหาใกล้ตัวของคนไทย และเลือกใช้ความเชี่ยวชาญด้าน AI มาผสานกับพฤติกรรมการใช้งาน LINE เพื่อสร้าง "ผู้ช่วยจัดการไฟล์อัจฉริยะ" ที่ทำให้การหาไฟล์มากมายในกลุ่มแชท กลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน
ที่มาของโปรเจกต์นี้เริ่มจาก Pain Point สุดคลาสสิกของนักเรียนนักศึกษา คือ ไฟล์หาย หาไม่เจอ และไฟล์หมดอายุ ใน LINE Group
แม้จะมีบริการการฝากไฟล์มากมายให้เลือกใช้ แต่ทีมพบ Insight สำคัญว่าคนไทยส่วนใหญ่ "ไม่ยอมเปลี่ยนพฤติกรรม" ไม่อยากสลับแอปไปมา หรือไม่อยากสมัครบัญชีใหม่ให้ยุ่งยาก สุดท้ายก็วนกลับมาส่งไฟล์งานในแชท LINE เหมือนเดิมอยู่ดี ทีมจึงตั้งโจทย์ว่าจะทำอย่างไรให้คนยังส่งไฟล์ในแชทได้เหมือนเดิม แต่แก้ปัญหาเรื่องไฟล์หมดอายุ หรือการตั้งชื่อไฟล์มั่วๆ ที่ทำให้ไม่รู้ว่าข้างในคืออะไร
หัวใจสำคัญของ Find Dee คือการนำ AI เข้ามา "อ่านและทำความเข้าใจ" ไฟล์แทนมนุษย์ เพื่อลดภาระการจัดเก็บและการค้นหา โดยมีขั้นตอนการทำงานดังนี้:
และสิ่งที่ทำให้ทีมชนะใจกรรมการคือความฉลาดเชิงเทคนิค ทีมออกแบบให้ AI ทำงานหนักแค่ตอน Input ไฟล์ เพื่อ Index ข้อมูลเก็บไว้ ทำให้ตอนค้นหาใช้ทรัพยากรน้อยมาก ผลลัพธ์คือจะทำให้ระบบทำงานเร็ว แม่นยำและมีต้นทุนการใช้ AI ที่ถูกมาก
นอกจากนี้ ทีมยังมีแผนพัฒนาฟีเจอร์ "เก็บลิงก์" เพราะรู้ดีว่านอกจากไฟล์แล้ว คนไทยยังชอบแปะลิงก์ทิ้งไว้ในแชทแล้วหาไม่เจอ โดยจะให้ AI เข้าไปอ่านเนื้อหาในลิงก์และจัดหมวดหมู่ให้เช่นเดียวกับไฟล์ เพื่อให้ Find Dee กลายเป็นแพลตฟอร์มบริหารจัดการข้อมูลบน LINE ที่ครบวงจรที่สุด โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเดิมเลยแม้แต่นิดเดียว


ในหมวดของนักพัฒนาทั่วไป ทีมที่คว้าแชมป์ไปครองคือทีม วันนี้พวกเราจะกินอะไร โดยมีโซลูชันที่ชื่อว่า "KINS LINE" ที่เกิดจากการรวมตัวของเพื่อน 5 คนที่เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา (Dev, Marketing, AI, UX) โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือการแก้ปัญหาโลกแตกอย่าง "วันนี้กินอะไรดี?" ให้กลายเป็นเรื่องง่ายด้วยเทคโนโลยีอย่าง AI ที่จะเข้ามาช่วยตัดสินใจแทนคนทั้งแก๊ง
ที่มาของโปรเจกต์นี้ ทีมได้ส่งหัวข้อประกวดไปถึง 3 หัวข้อ แม้ตอนแรกทีมการตลาดจะมีความเห็นว่าไอเดียเรื่องอาหารจะสร้างรายได้ยาก แต่เมื่อทีมได้ลงไปสำรวจปัญหาจริงๆ กลับพบประเด็นที่น่าสนใจกว่าการแค่หาร้านไม่เจอ นั่นคือ "ความขัดแย้งในกลุ่ม"
เมื่อคนหลายคนมารวมตัวกัน ความต้องการมักสวนทางกันเสมอ เช่น เพื่อนคนหนึ่งงบน้อย แต่อีกคนอยากกินหรู หรืออีกคนอยากได้ร้านที่ถ่ายรูปสวย การถกเถียงนี้กินเวลานานจนบางครั้งทำให้งานกร่อยหรือปาร์ตี้ล่ม ทีมจึงตั้งใจเปลี่ยนโจทย์จากการแค่สุ่มร้านอาหาร มาเป็นการสร้างเครื่องมือหา "จุดตรงกลางที่ลงตัวสำหรับทุกคน"
นอกจากนี้ทีมยังปรับเปลี่ยนรูปแบบในช่วง 3 วันสุดท้ายก่อนนำเสนอ โดยเปลี่ยนจากการทำแอปพลิเคชันแยก มาเป็นการทำงานร่วมกันบน "แชทไลน์กลุ่ม" ผ่าน LINE MINI App เพราะเข้าใจพฤติกรรมคนไทยดีว่าไม่อยากกดออกจากหน้าแชทเพื่อไปเข้าแอปฯ อื่นให้วุ่นวาย
เจาะลึกระบบการทำงาน: จากความต้องการที่กระจัดกระจาย สู่ร้านที่ทุกคนพอใจ
หัวใจสำคัญของ KINS LINE ไม่ใช่การสุ่มร้านมั่วๆ แต่คือการนำความต้องการที่แตกต่างกันของแต่ละคน มาหา "จุดตรงกลาง" เพื่อหาร้านที่ Win-Win ที่สุดสำหรับทุกคน โดยมีขั้นตอนการทำงานดังนี้
นอกจากนี้ทีม KINS LINE ยังวางแผนต่อยอดเพื่อแก้ปัญหา รวมถึงพัฒนาฟีเจอร์ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถแปะลิงก์วิดีโอสั้น เช่น TikTok หรือ Reels ที่มีบรรยากาศร้านที่ชอบ แล้วให้ AI วิเคราะห์ "อารมณ์และบรรยากาศ" (Vibe) จากคลิปนั้น เพื่อหาร้านอาหารในพิกัดปัจจุบันที่ให้ความรู้สึกใกล้เคียงกัน
และอาจขยายไปสู่การทำแผนที่สำหรับงานเทศกาลใหญ่ๆ (เช่น งานกาชาด) เพื่อช่วยให้ผู้ใช้หาร้านที่เจาะจงได้ง่ายขึ้นท่ามกลางร้านค้าจำนวนมาก ซึ่งพอพูดถึงโมเดลรายได้ ในช่วงแรก ทีมมีแผนเปิดให้ผู้ใช้งานทั่วไปใช้ฟรีเพื่อสร้างฐานลูกค้า ส่วนในระยะยาวทีมวางแผนสร้างรายได้จากฝั่ง B2B โดยเปิดให้ร้านค้า ซื้อโฆษณา เพื่อดันชื่อร้านตัวเองขึ้นมาในจังหวะที่คนกำลังเลือกร้าน และมีบริการนำเสนอข้อมูลวิเคราะห์ต่าง ๆ ช่วยให้เจ้าของร้านรู้เทรนด์พฤติกรรมลูกค้าที่มากันเป็นกลุ่มมักจะชอบกินอะไรในช่วงเวลาไหน
สุดท้ายคุณวีระ ได้ทิ้งท้ายไว้ว่า “เรามอง LINE HACK เปรียบเสมือน 'รถขนฝัน' ที่เปลี่ยนชีวิต Developer หลายคน บางคนจากผู้เข้าแข่งขันกลายมาเป็นพนักงาน LINE บางคนได้โอกาส ทั้งในเชิงเงินทุนหรือการเชื่อมต่อกับพาร์ทเนอร์ที่ใช่ สู่ธุรกิจที่เติบโตได้ เราอยากเห็นโซลูชันเหล่านี้ได้ถูกพัฒนาต่อยอดสู่การใช้งานจริง และสร้าง Impact ให้กับประเทศไทยต่อไป”
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด