Meta เปิดเผย Roadmap AI ที่น่าตื่นเต้นที่สุดในรอบหลายปี ด้วยการเตรียมเปิดตัวโมเดลใหม่ 2 ตัวคือ Mango และ Avocado
โดย Mango ถูกออกแบบมาเพื่อทำงานกับภาพและวิดีโอ ตั้งแต่การสร้างภาพเคลื่อนไหว ไปจนถึงการเข้าใจ กฎฟิสิกส์ เพื่อสร้างภาพและฉากที่สมจริง ขณะที่ Avocado เน้นความสามารถด้านการคิด วิเคราะห์ และแก้ปัญหา ครอบคลุมตั้งแต่การเขียนโค้ด การจัดการโจทย์ซับซ้อน ไปจนถึงการใช้เหตุผลอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เสมือนผู้ช่วยมืออาชีพ ซึ่ง Meta เตรียมเปิดตัวโมเดลเหล่านี้ในช่วงครึ่งแรกของปี 2026
การเดินหมากครั้งนี้สะท้อนชัดว่า Mark Zuckerberg เริ่มหมดความอดทนกับการเป็น ‘ผู้ตาม’ ในสงคราม AI หลังจากปล่อยให้ OpenAI และ Google ทิ้งห่างไปหลายก้าว และต้องการทวงพื้นที่การแข่งขันกลับมาอย่างจริงจัง

ในบรรดาโมเดลทั้งสอง Mango คือไพ่ใบสำคัญที่ Meta เลือกใช้เปิดเกมก่อน โดยมีความสามารถในการประมวลผลภาพและวิดีโอขั้นสูง และไม่ได้ถูกออกแบบมาเป็นเพียงเครื่องมือสร้างวิดีโอจากคำสั่ง (text-to-video) เพียงอย่างเดียว แต่เป็น World Model ที่มีความเข้าใจโลกทางกายภาพ สามารถคาดคะเนการเคลื่อนไหว วางแผน และสร้างฉากได้อย่างสมจริงในระดับที่เข้าใกล้การรับรู้ของมนุษย์ ช่วยให้ Mango สร้างวิดีโอที่ต่อเนื่อง ลื่นไหล และสมจริงยิ่งขึ้น พร้อมยกระดับฟีเจอร์อย่าง Reels และ Instagram Stories และท้าชนกับ Sora ของ OpenAI และ Veo ของ Google โดยตรง
หาก Mango ประสบความสำเร็จ Meta อาจเปลี่ยนอุตสาหกรรมโฆษณาไปตลอดกาล เพราะแบรนด์จะสามารถสร้างวิดีโอโฆษณาคุณภาพระดับ CGI-grade ได้ฟรี ๆ ภายในแอป Facebook และ Instagram ทันที
ขณะที่ Avocado คือโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับโจทย์ยาก โดยเฉพาะการเขียนโค้ด ซึ่งเคยเป็นจุดอ่อนสำคัญของ Llama รุ่นก่อน ๆ เป้าหมายของ Meta คือการลบคำสบประมาทให้หมดไปอย่างสิ้นเชิง
Avocado จึงถูกพัฒนาบนแนวคิด Agentic AI ซึ่งไม่ใช่แค่การสนทนา แต่สามารถ วางแผน ตัดสินใจ และ ลงมือทำแทนมนุษย์ได้จริง ตั้งแต่การแก้ปัญหาซับซ้อน ไปจนถึงการทำงานเชิงลำดับขั้นอย่างเป็นระบบ
หลังจากใช้เวลาหลายปีกับความฝัน Metaverse ที่ยังไม่สามารถสร้างผลตอบแทนเชิงพาณิชย์ได้ ล่าสุด Mark Zuckerberg ตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางบริษัทอย่างเด็ดขาด โดยก่อตั้งหน่วยงานใหม่ในชื่อ Meta Superintelligence Labs (MSL) รายงานระบุว่า Meta กำลังทุ่มทรัพยากรทั้งหมดไปที่ MSL เพื่อพัฒนา AI รุ่นถัดไปที่สามารถก้าวข้าม Llama
พร้อมกันนั้น Meta ได้ดึงตัว Alexandr Wang ผู้ก่อตั้ง Scale AI วัยเพียง 28 ปี มาดำรงตำแหน่ง Chief AI Officer พร้อมทุ่มเงินกว่า 14,000 ล้านดอลลาร์ เข้าซื้อหุ้นเกือบ 50% ใน Scale AI เพื่อล็อคตัวซีอีโอคนใหม่ และครอบครองเทคโนโลยีด้าน Data Annotation ที่ใช้สำหรับเตรียมข้อมูลในการฝึก AI ซึ่งถือเป็นคอขวดสำคัญของการสร้าง AI ระดับสูง และเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของยุคนี้
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าช่วงกลางปี 2025 ที่ผ่านมา Zuckerberg เสนอแพ็กเกจค่าตอบแทนหลักร้อยล้านดอลลาร์ให้กับนักวิจัยระดับท็อปจาก OpenAI และ Google กว่า 20 คน เพื่อดึงตัวเข้าสู่ MSL
สิ่งที่นักลงทุนและชุมชนนักพัฒนาจับตามองมากที่สุด คือข่าวลือที่ว่า Avocado อาจถูกพัฒนาเป็น โมเดลแบบปิด (Closed Model) เพื่อเปิดทางให้ Meta สามารถจัดเก็บรายได้และควบคุมนวัตกรรมได้มากขึ้นในลักษณะเดียวกับ OpenAI การขยับครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนทิศทางครั้งใหญ่ จากเดิมที่ Meta เคยวางตัวเป็น ‘พี่ใหญ่ใจดี’ แจกโมเดล Llama แบบ Open Source ให้ใช้งานฟรีมาโดยตลอด
การเปลี่ยนแปลงนี้ได้จุดชนวนความขัดแย้งภายในองค์กรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อนักวิจัยระดับตำนานและเจ้าพ่อ AI อย่าง Yann LeCun ประกาศลาออกในเดือนธันวาคม 2025 เพื่อไปก่อตั้งสตาร์ทอัพด้านการวิจัยอิสระ เนื่องจาก Yann LeCun เชื่อในการวิจัยพื้นฐานระยะยาว (Fundamental Research) ขณะที่ Alexandr Wang และ Mark Zuckerberg ต้องการผลลัพธ์ที่เป็นผลิตภัณฑ์ได้เร็วและทำเงินได้ทันที
แรงสั่นสะเทือนดังกล่าวยังลุกลามต่อเนื่อง โดยในช่วงปลายปี 2025 มีรายงานว่านักวิจัยที่เพิ่งย้ายมาจาก OpenAI หลายคนตัดสินใจลาออก โดยให้เหตุผลเรื่อง ‘วัฒนธรรมองค์กรที่เปลี่ยนไป’ จากการแทรกแซงและการ Micromanage ของ Mark Zuckerberg ที่เข้มงวดเกินไป รวมถึงทิศทางเชิงพาณิชย์ของบริษัทที่เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ
ด้วยตัวเลขขาดทุนสะสมมหาศาลจาก Reality Labs และความล้มเหลวในการสร้างรายได้จาก Llama 4 สถานการณ์ของ Meta ในวันนี้ไม่ต่างจากการ ‘ทุบหม้อข้าวตัวเอง’ รายงานระบุว่า Mark Zuckerberg สั่งลดงบประมาณ Reality Labs ลงถึง 30% หลังจากแบกรับผลขาดทุนสะสมกว่า 70,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อนำเงินไปอัดฉีดการลงทุนด้านชิปประมวลผล และเร่งพัฒนา Mango กับ Avocado อย่างเต็มกำลัง ถือเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่า "AI คืออนาคตที่ทำเงินได้จริง ส่วน Metaverse คือความฝันที่ต้องรอไปก่อน"
ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนทิศทางจาก Open Source ไปสู่ Closed Model ก็กลายเป็นความเสี่ยงอีกด้าน เพราะอาจทำให้ Meta สูญเสียพันธมิตรนักพัฒนาที่เคยเป็นฐานกำลังสำคัญของ Llama ให้กับโมเดลจากจีน เช่น Qwen ของ Alibaba ที่กำลังรุกตลาด Open Source อย่างหนัก
ปี 2026 จึงกลายเป็นเส้นตายโดยปริยาย หาก Mango และ Avocado ไม่สามารถสร้างรายได้ หรือทวงตำแหน่งผู้นำเทคโนโลยีกลับมาได้ Meta อาจต้องเผชิญกับวิกฤตความเชื่อมั่นครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท
อ้างอิง: The Wall Street Journal, TechCrunch
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด