บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์แนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ได้เปิดเผยรายงานงบการเงินประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2564 พบว่ามีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 7,250 ล้านบาท และมีรายได้จากการดำเนินงานทั้งหมด 12,499 ล้านบาท ลดลงกว่า 44 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผลการดําเนินงานของกลุ่มโรงแรมภายใต้สัญญารับจ้าง บริหารจัดการห้องชุดและยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขายที่ แข็งแกร่งในไตรมาสนี้ ไม่เพียงพอที่จะชดเชยรายได้ที่ชะลอตัว ของธุรกิจอื่นๆ ของบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจโรงแรม ได้เต็ม จํานวน เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2563 ที่สองเดือนแรกยังคงเป็น ฐานของผลการดําเนินงานปกติก่อนการระบาดของโรค COVID-19
ทั้งนี้บริษัทมีกําไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี และค่าเสื่อม (EBITDA) จากการดําเนินงาน ลดลงในอัตรา 83 % อยู่ที่จํานวน 521 ล้าน บาท ในไตรมาส 1 ปี 2564 จากความสามารถในการท่าก๋าไรที่ ลดลงตามการลดลงของรายได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากธุรกิจ โรงแรม แม้ว่าจะมีการดําเนินมาตรการการประหยัดค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ผลการดําเนินงานมีแนวโน้มที่ดีขึ้นเมื่อ เทียบกับไตรมาสก่อน ซึ่งมี EBITDA จากการดําเนินงานที่เป็นลบ อยู่ที่ 51 ล้านบาท ทั้งนี้ ธุรกิจบริหารจัดการห้องชุด ธุรกิจอื่นที่ เกี่ยวข้องกับธุรกิจโรงแรม ธุรกิจร้านอาหาร และธุรกิจจําหน่าย สินค้าไลฟ์สไตล์มี EBITDA ที่เป็นบวกในไตรมาส 1 ปี 2564
สำหรับฐานะการเงินของบริษัท ในส่วนของสภาพคล่อง ณ สิ้นเดือนเมษายน 2564 บริษัทมีเงินสดในมือจํานวนประมาณ 2.1 หมื่นล้านบาท และวงเงินสินเชื่อจํานวน 2.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเพียงพอที่จะรองรับกระแสเงินสดจากการ ดําเนินงานที่เป็นลบในสภาวะที่มีความผันผวนในระยะสั้นนี้
นอกจากนี้ สถานะเงินสดของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นจากธุรกรรมการ หมุนเวียนสินทรัพย์ ซึ่งมีเป้าหมายที่จะแล้วเสร็จในไตรมาส 3 ปี 2564บริษัทยังคงมุ่งเน้นในการบริหารจัดการฐานะทางการเงินเชิงรุก ทั้ง ในระดับกลุ่มบริษัทและระดับเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป
MINT มีแผนที่จะออกหุ้นกู้จํานวนไม่เกิน 6 พันล้านบาท ซึ่งเป็น ส่วนหนึ่งของแผนการบริหารจัดการหนี้สินและสภาพคล่อง อีกทั้ง เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัท ทริส เรทติ้งได้ประกาศคง อันดับเครดิตองค์กร และหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันที่ระดับ “A” และอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน (Hybrid Debentures, MINT18PA) ที่ระดับ “BBB+" ในขณะเดียวกัน ทริส ได้จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ ซึ่งจะ ออกโดย MINT มูลค่าไม่เกิน 6 พันล้านบาทที่ระดับ “A” อีกทั้งได้ คงแนวโน้มเชิงลบ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรค COVID-19
เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของโครงสร้างหนี้สิน เอ็นเอช โฮเทล กรุปได้บรรลุข้อตกลงกับเจ้าหนี้ธนาคารในการขยายระยะเวลาการ ชําระเงินกู้ร่วมที่มี ICO (ธนาคารรัฐของประเทศสเปน) ค้ำประกัน จํานวน 250 ล้านยูโรจากปี 2566 เป็นปี 2569 และการยกเว้นการ ทดสอบการดํารงอัตราส่วนทางการเงินไปจนถึงเดือนมิถุนายน 2565
นอกจากนี้ บริษัทได้รับการยกเว้นการทดสอบการดํารงอัตราส่วนทางการเงินสําหรับ RCF (เงินกู้เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียน) ที่มีอยู่เดิมไปจนถึงเดือนธันวาคม 2564 อัตราส่วนทางการเงินที่ ผ่อนคลายลงในเดือนมิถุนายน 2565 และเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ยัง อยู่ระหว่างการทบทวนทางเลือกต่างๆ สําหรับเงินกู้อื่นที่จะครบ กําหนดการชําระคืนในปี 2566
ทั้งนี้ เพื่อที่จะเพิ่มสภาพคล่องและ เสริมสร้างฐานะทางการเงิน เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ปได้ประกาศ แผนการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนจํานวน 107 ล้านยูโรในครึ่งปีหลังของ ปี 2564 ในขณะเดียวกัน MINT จะดําเนินการให้เงินกู้ผู้ถือหุ้นกับ เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ปเป็นจํานวน 100 ล้านยูโร ซึ่งจะนําไปใช้ในการ ซื้อหุ้นเพิ่มทุนต่อไป ทั้งนี้ การสนับสนุนของ MINT แสดงให้เห็นถึง ความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ในฐานะผู้ถือหุ้นหลักของเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ให้เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป สามารถก้าวผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ ได้ ทั้ง MINT และเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป จะยังคงพิจารณาทางเลือก เพิ่มเติมเพื่อเพิ่มสภาพคล่องและเสริมสร้างความแข็งแกร่งของ ฐานะทางการเงินต่อไป
อย่างไรก็ตามแม้ว่ายอดขาดทุนจะมาจากกลุ่มธุรกิจโรงแรมในพื้นที่ทวีปยุโรปและประเทศไทยที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างไรก็ตาม MINT ได้กำไรและมีแนวโน้มระยะกลางถึงระยะยาวแข็งแกร่ง ด้วยอานิสงส์จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องของกลุ่มธุรกิจร้านอาหารของประเทศจีน และออสเตรเลีย อีกทั้งกลุ่มธุรกิจโรงแรมในประเทศออสเตรเลียและมัลดีฟส์ฟื้นตัว โดยรายได้ค่าเฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPar) เริ่มกลับมาสู่ระดับที่ใกล้เคียงก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19 นอกจากนี้ธุรกิจการขายโครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทก็มีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด