ได้ข้อมูลจาก Priceza Money มาว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV: Electric Vehicle) ในปี 2022 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาสแรกของปี 2023 มียอดจดทะเบียน EV สะสมมากกว่า 5.1 หมื่นคัน แต่ถ้ามองให้ลึกกว่านั้น ปัญหาที่ตามมาคือ การให้บริการหลังการขาย ที่ไม่ทันต่อความต้องการของผู้บริโภคและการเติบโตของตลาด กับ การเก็บ Data ซึ่งยังมีน้อย เนื่องจากจำนวนรถ EV ยังไม่มากพอ ล้วนส่งผลต่อราคา 'ประกัน EV' โดยตรง

3 เหตุผลที่ 'ประกัน EV' ยังถูกกว่าราคาที่เห็นในตอนนี้ไม่ได้

สิริวิชญ์ ชญาวานิช Head of Priceza Money เผยอินไซด์ข้อมูลที่ผู้บริโภคใช้งาน Priceza Money (Money.priceza.com) เว็บเปรียบเทียบประกันรถยนต์ ร่วมกับการพูดคุยกับเหล่าบริษัทประกัน จนได้คำตอบว่า ที่เบี้ยประกัน EV จะยังคงสูงอยู่ จะลดลงภายในไม่กี่ปีข้างหน้านี้ด้วย 3 เหตุผล

1. จำนวนรถ EV ในไทยยังมีน้อยอยู่ 
   ด้วยจำนวนรถที่ยังน้อย การเก็บ Data จึงน้อย ส่งผลต่อการเก็บสถิติการใช้งานและการเกิดอุบัติเหตุต่างๆ ที่ทำได้น้อย เมื่อได้ Data น้อย บริษัทประกันจึงยังไม่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลและประเมินความเสี่ยงตามความเป็นจริงได้ในขณะนี้
2. ค่าแรงและค่าซ่อมสูงกว่ารถยนต์ทั่วไป 
   เพราะ EV เป็นรถที่ใช้กำลังไฟที่มีความแรงสูงและเป็นนวัตกรรมที่ต่างจากรถยนต์สันดาป จึงต้องใช้ช่างที่มีความรู้ความชำนาญด้านยานยนต์ไฟฟ้าในการซ่อม ผู้ใช้งานจึงต้องส่งรถเข้าศูนย์ หรือถ้าเป็นอู่ก็ต้องเป็นช่างที่มีความเชี่ยวชาญมาก แต่อย่างไรก็ตาม คาดว่าอู่รถ EV จะเพิ่มขึ้นจากการเข้ามาตั้งฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในไทย และหากเทียบราคาประกันรถ EV ที่มีลักษณะ รุ่น และราคาใกล้เคียงกัน พบว่ารถที่ซ่อมอู่และซ่อมศูนย์มีราคาต่างกันอยู่ที่ราว 15,000 บาท 
3. จำนวนอะไหล่ที่น้อยลงของรถยนต์ EV 
   เนื่องจากชิ้นส่วนที่นำมาประกอบเป็นรถ EV แยกออกมาได้เพียง 8-10 ชิ้น ต่างจากรถยนต์สันดาปที่มีชิ้นส่วนนับพัน หากเกิดอุบัติเหตุที่มีการชนหรือกระแทกอย่างรุนแรง อาจต้องเปลี่ยนอะไหล่ 6-7 ชิ้น มูลค่าความเสียหายและค่าซ่อมจึงสูง ขณะที่รถที่ใช้กันทั่วไปมีเปลี่ยนอะไหล่เป็นชิ้นย่อยๆ ได้จำนวนมาก จึงมีมูลค่าความเสียหายน้อยกว่า ส่งผลให้จ่ายค่าซ่อมถูกกว่า

คงเห็นกันแล้วว่า ประกันรถยนต์ไฟฟ้าสูงกว่ารถยนต์ที่ใช้กันทั่วไป จึงยังไม่ต้องถามหาราคาประกัน EV ราคาถูกในเวลานี้

สิริวิชญ์อธิบายเพิ่มเกี่ยวกับข่าวก่อนหน้านี้ที่ผู้ใช้รถ EV จะต้องจ่ายค่าซ่อมในราคาแพง เช่น Ora Good Cat ที่ประสบอุบัติเหตุ ทาง GWM ตัดสินใจเปลี่ยนแบตราคาเป็นแสนให้ทั้งก้อน ทั้งที่จริง เปลี่ยนแค่เคสหุ้มแบตเตอรี่หรือฝาครอบก็ทำได้ และจ่ายในราคาเพียงหลักหมื่น หรือกรณีผู้ขับขี่ BYD ATTO 3 ขับไปเกยเกาะกลางถนน มีการประเมินค่าซ่อมไว้ที่ 1.1 ล้านบาท แต่หลังจากพบว่าแบตมีรอยถลอกเล็กน้อยกับกระแสดราม่า จากที่ตีราคาแบตไว้ 9.6 แสนบาทในช่วงแรก จึงลดลงมาเหลือ 6 แสนกว่าบาท กอปรกับการซื้อประกันคืนทุนเอาไว้ ผู้ขับขี่จึงส่งรถให้บริษัทประกันแล้วรับเงินคืน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรถก็ยังคงอยู่ระหว่างซ่อม เนื่องจากไทยยังขาดผู้เชี่ยวชาญในการซ่อมยานยนต์ไฟฟ้า

คาดการณ์ทิศทางประกันรถยนต์ไฟฟ้า 

สิริวิชญ์ระบุให้ชัดขึ้นว่า ค่าเบี้ยประกัน EV สามารถเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้จากการพิจารณา พฤติกรรมการขับขี่, ระยะทาง และต่อไปอาจมีแยกพิจารณาความคุ้มครองตาม ชิ้นส่วน/อะไหล่ เนื่องจากไม่สามารถคิดแบบเหมารวมให้ชิ้นส่วนทุกชิ้นของ EV มีอายุเท่ากันได้ทั้งหมด ซึ่งการที่ Priceza Money ไปพูดคุยกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ทำให้ได้ข้อมูลอัปเดตว่า เมื่ออะไหล่ EV ค่อนข้างแพง จึงเกิดข้อเรียกร้องหรือความต้องการให้แยกความคุ้มครอง อาทิ ตัวรถ กับ แบตเตอรี่ ซึ่งผู้ขับขี่อาจจ่ายเพิ่มหรือเลือกจ่ายแยกได้ และ คปภ.ยังเปิดเผยอีกว่า จะร่วมพิจารณาเรื่องลดราคาประกันในอนาคต 

ทั้งข้อมูลที่ได้ในเชิงตัวเลข การค้นหาข้อมูล และการพูดคุย ทาง Priceza Money จึงให้ข้อมูลคาดการณ์โดยแบ่งประกัน EV ออกเป็น 3 ทิศทาง ได้แก่

สิริวิชญ์ ชญาวานิช Head of Priceza Money คาดว่า เบี้ยประกันที่ต้องจ่ายจะลดอีกมากจากมาตรการภาครัฐที่ระบุไว้ว่า ยิ่งไทยนำ EV เข้ามาขายมากเท่าไหร่ ก็ต้องผลิต EV ให้ได้จำนวนเท่าๆ กันภายในปี 2025 

• ทิศทางที่ 1 ประกัน EV จะยังคงมีราคาสูงอยู่ เพราะมี EV น้อย, การซ่อมต้องเข้าแต่ศูนย์, ช่างซ่อมรถในไทยยังขาดความรู้และทักษะด้านการซ่อม EV และมีอะไหล่น้อยชิ้น
• ทิศทางที่ 2 ประกัน EV จะมีราคาถูกลงภายใน 2-3 ปี เนื่องจากนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนการผลิตและการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน ผ่านการ MOU กับภาคส่วนต่างๆ 
• ทิศทางที่ 3 - ประกัน EV จะเป็นการออกแบบตามผู้ใช้มากขึ้น (Personalize) ภายใน 4-5 ปี ต่อจากนี้ เช่น Tesla Insurance ที่เก็บข้อมูลผู้ขับขี่แบบเดือนต่อเดือนและปรับเบี้ยประกันขึ้นลงแบบเดือนต่อเดือนตามพฤติกรรมการขับขี่ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบแล้วพบว่า ผู้ใช้งานที่ขับขี่ดีจ่ายเบี้ยถูกลงกว่าเดิมประมาณ 20-30% 

ยกตัวอย่าง แนวโน้มราคาประกันรถ EV ของแบรนด์ BYD

สิริวิชญ์บอกว่า ประกัน EV จะมีราคาถูกลง เมื่อเห็นราคาซ่อมและราคาอะไหล่ที่แท้จริงมากขึ้นภายใน 2-3 ปี

สิริวิชญ์ยกตัวอย่างราคาประกันรถยนต์ไฟฟ้า รุ่น BYD ATTO3 ที่ตอนนี้ขายดีเป็นอันดับ 1 ของรถยนต์ไฟฟ้าในปีนี้มาให้ดูเป็นตัวอย่าง โดยอิงจากราคาของธุรกิจประกันรายใหญ่อย่างวิริยะประกันภัย 

• ปี 2022 ตอน BYD เปิดตัว ATTO3 ราคาประกันอยู่ที่ 42,000 บาท ซึ่งถือว่ามีราคาแพงมาก

• ปี 2023 ราคาปรับลงมาประมาณเกือบๆ 20% อยู่ที่ 34,9000 บาท ซึ่งสาเหตุที่ราคาประกันปรับลดลงมาในปี 2023 คือข้อมูลครับ ตอนที่ BYD ATTO3 เปิดตัวใหม่ๆ บริษัทประกันยังไม่มีข้อมูลอะไรเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นราคาอะไหล่ ค่าแรง ค่าซ่อม ทำให้ต้องตั้งราคาเผื่อไว้ค่อนข้างสูง หรือ อิงจากราคาต่างประเทศครับ

• ปลายปี 2022 - 2023 วิริยะประกันภัยได้เป็น 1 ในบริษัทประกันที่เซ็น mou กับ BYD ในการแถมประกันรถยนต์ชั้น 1 ให้แก่ลูกค้าที่ซื้อ BYD ATTO3 ครับ ทำให้วิริยะประกันภัยมีข้อมูลมากขึ้นในการคำนวณค่าซ่อม ค่าอะไหล่

• ปี 2024 เป็นปีแรกที่ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าที่นำเข้า EV มาขายในประเทศไทย จะต้องผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในปริมาณเดียวกันกับที่นำเข้ามาขายก่อนหน้า ตามเงื่อนไขการสนับสนุนมาตรการ EV ของรัฐ ซึ่งหมายความว่า จะเกิดการตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย จะทำให้อะไหล่ต่างๆ ของรถยนต์ไฟฟ้ามีราคาถูกลงจากการผลิตเองในประเทศ และความรู้ความเชี่ยวชาญของช่างในการซ่อมก็จะต้องถูกถ่ายโอนมาที่ประเทศไทยเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ Priceza Money จึงคาดการณ์ว่าราคาประกันรถยนต์ไฟฟ้าจะต้องลดลงมาอีกอย่างน้อยในอัตราที่เทียบเท่ากับที่ก่อนหน้าประมาณ 20% 

• และปี 2025 ซึ่งเป็นปีท้ายสุดที่อยู่ในเงื่อนไขสนับสนุน EV ของภาครัฐ ก็น่าจะทำให้ราคาประกันรถยนต์ไฟฟ้าลดลงใกล้เคียงกับราคาประกันรถยนต์น้ำมันในปัจจุบัน และสำหรับ BYD ATTO3  ที่มีมูลค่ารถประมาณ 1 ล้านบาท มีความเป็นไปได้ว่า ราคาประกันชั้น 1 จะลงมาอยู่ที่ 23,000 - 24,000 บาท

5 ประเด็นแวดล้อมที่น่ารู้จากการรับฟัง Priceza Money

1. ปัจจุบันมีบริษัทประกันรถ EV อยู่ราว 10 บริษัท มีประกันชั้น 2+ 3+ ให้เลือก (ขึ้นอยู่กับออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัยของแต่ละบริษัท) แต่ผู้เลือกประกันกลุ่มนี้ควรมั่นใจว่า มีพฤติกรรมการขับขี่ดีเช่นกัน
2. การซื้อรถ EV มักจะได้ประกันภัยฟรีในปีแรก นอกเหนือจากค่าประกัน ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับ EV ยังมีอีกหลายด้าน ได้แก่ ค่าพลังงาน (น้ำมัน/ไฟฟ้า), ค่าเช็กระยะ-ตรวจสภาพรถ, ค่าภาษีประจำปี และค่าเปลี่ยนยางรถ 
3. ตัวเลือกยางรถ EV ยังมีน้อยในปัจจุบัน ราคาจึงยังแพงอยู่ แต่อย่างไรก็ดี ผู้ขับขี่อาจยังไม่ได้เปลี่ยนยางรถไปอีก 4-5 ปี เพราะเพิ่งใช้งานได้ไม่นานและประเทศไทยมีจุดชาร์จที่พร้อมรองรับอยู่ระดับหนึ่งเท่านั้น ยางรถก็จะยังไม่เสื่อมเร็ว
4. ตามปกติแล้ว EV มีทั้งสิ้น 8 ชิ้นส่วน ซึ่งการนำเข้าชิ้นส่วนมีเป้าหมายหลักอยู่ที่การนำเข้ามาประกอบเป็นคันรถ ไม่ค่อยมีการนำเข้าชิ้นส่วน/อะไหล่มาเพื่อซ่อม เพราะถ้าเป็นแบบหลังจะโดนเรียกเก็บภาษีอีกไม่น้อย
5. MG เป็นแบรนด์ EV แรกที่ใช้เทคโนโลยีในการถอดชิ้นส่วนออกมาซ่อมได้แล้ว
   

ธนาวัฒน์ มาลาบุปผา ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Priceza บริษัทแม่ของ Pricceza Money กล่าวเสริมในตอนท้ายเกี่ยวกับเทรนด์และการพัฒนาแพลตฟอร์มเปรียบเทียบราคาว่า “เราเห็นว่าการเลือกสินค้าด้านการเงินและประกันนั้นมีความสำคัญต่อผู้บริโภคในยุคนี้และค่อนข้างมีความซับซ้อน จึงทำแพลตฟอร์ม Priceza Money ให้มันใช้ง่าย เลือกได้ง่าย และประหยัดเงินได้มากที่สุด ซึ่งทำให้มีอินไซด์จากผู้บริโภคโดยตรง นอกจากนี้ การใช้ EV ไม่ได้ผลักดันโดยภาคธุรกิจอย่างเดียว แต่ผู้บริโภคก็เปิดรับ เพราะเหมือนโลกกำลังหมุนไปในทิศทางการใช้พลังงานสะอาด ถึงแม้ราคาแพงกว่าก็ตาม”