ธนาคารไทยพาณิชย์หรือ SCB ภายใต้การดำเนินงานของดิจิทัล เวนเจอร์ส (Digital Ventures) บริษัทในเครือด้านการลงทุนและการค้นคว้านวัตกรรมการเงิน ประกาศเพิ่มงบลงทุนในหน่วยงานทุนองค์กรหรือ Corporate Venture Capital อีก 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ก้าวสู่การเป็นองค์กร Ventures Capital ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมีขนาดเงินลงทุนรวม 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ พร้อมปรับกลยุทธ์มุ่งสู่การลงทุนโดยตรงในเทคสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพในการพัฒนาเทคโนโลยี แห่งอนาคตทั่วโลก หนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ
ดร. อารักษ์ สุธีวงศ์ รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส Chief Financial Officer and Chief Strategy Officer ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า “ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ธนาคารฯ ประสบความสำเร็จในด้านการลงทุน รวมทั้งการร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ Ventures Capital และ Startup ต่างๆ ทำให้ธนาคารฯ สามารถเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีชั้นสูง (Deep Technology) โดยในปัจจุบันธนาคารไทยพาณิชย์ได้มีเครือข่ายพันธมิตรกับสตาร์ทอัพ ทั่วโลกกว่า 800 ราย และVentures Capitalในต่างประเทศอีกกว่า 60 ราย จาก 29 ประเทศทั่วโลก ทำให้ ธนาคารฯ สามารถเข้าถึง และเรียนรู้นวัตกรรม เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิดจากกิจการที่ได้เข้าไปลงทุน อาทิ บล็อคเชน ควอนตัมคอมพิวเตอร์ เป็นต้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งการทำงานขององค์กรธุรกิจและผู้บริโภคทั่วไป จากความสำเร็จที่ผ่านมา ธนาคารไทยพาณิชย์จึงมีความมั่นใจที่จะเพิ่มเงินลงทุนอีก 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 1,750 ล้านบาท รวมเป็นเงินลงทุนตั้งแต่แรกจนถึงปัจจุบัน 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 3,000 ล้านบาท”
นายพลภัทร อัครปรีดี กรรมการผู้จัดการ หน่วยงานทุนองค์กร บริษัท ดิจิทัล เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวเสริมว่า “ในการเพิ่มงบลงทุนในครั้งนี้ ดิจิทัล เวนเจอร์สจะมุ่งเฟ้นหาบริษัท Startup และ Ventures Capital จากทั่วโลกที่มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีชั้นสูง ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีหลักที่สามารถนำมาพัฒนาเป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สามารถตอบโจทย์ทางธุรกิจ และสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการต่างๆ ของธนาคาร เพื่อประโยชน์แก่ลูกค้าองค์กรและลูกค้าทั่วไปของธนาคาร”
โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ดิจิทัล เวนเจอร์ส ได้ลงทุนเชิงกลยุทธ์ทั้งในเทคสตาร์ทอัพโดยตรง และลงทุนในเวนเจอร์ส แคปปิตอล ได้แก่
โดยการลงทุนที่ผ่านมานั้น นอกจากจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับสตาร์ทอัพชั้นนำที่มีศักยภาพ Ventures Capital และผู้นำทางความคิดด้านฟินเทคทั่วโลกแล้ว ธนาคารยังสามารถแบ่งปันความรู้และเทคโนโลยีเหล่านี้ให้แก่ผู้บริหารของธนาคารและลูกค้าองค์กรผ่านกิจกรรมต่างๆ อาทิ สัมมนา เวิร์คช็อป เช่น งาน SCB Faster Future Forum เพื่อขับเคลื่อนการเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีและสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการพัฒนาสังคมดิจิทัลต่อไป
ดร. อารักษ์ กล่าวว่า “นโยบายการลงทุนของเราครั้งนี้ มุ่งเน้นในผลิตภัณฑ์และบริการ และเทคโนโลยีชั้นสูง อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) บล็อกเชน ความปลอดภัยบนไซเบอร์ (Cybersecurity) กระบวนการวิเคราะห์ข้อมูล (Big Data / Data Analysis) และอื่นๆ ที่สามารถนำไปพัฒนาต่อยอดให้กับบริการต่างๆ ของธนาคาร อาทิ บริการสินเชื่อ การบริหารความมั่งคั่ง ธุรกิจเอสเอ็มอี และธุรกิจประกัน การเพิ่มเงินลงทุนเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการเพิ่มศักยภาพในการเฟ้นหาและเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้กับธนาคาร เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการเงินให้แก่ลูกค้าในอนาคตอันใกล้ นอกจากนี้กลยุทธ์นี้ยังสอดคล้องกับกลยุทธ์ Going Upside Down หรือตีลังกากลับหัว ที่จะทำให้ธนาคารมีศักยภาพด้านดิจิทัล และมีโมเดลการทำงานที่เหมาะสมกับความท้าทายของโลกดิจิทัลในอนาคต สามารถสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคการเงินการธนาคาร เศรษฐกิจในภาพรวม และการพัฒนาสังคมของประเทศไทยให้ก้าวทันโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด