หากมองซ้าย มองขวา ไม่ว่าจะใกล้หรือไกลจากระดับสายตา คุณก็จะเห็นบรรดา 'ป้ายหาเสียง' ของพรรคการเมืองที่เริ่มถูกนำมาติดเต็มสองข้างทาง สิ่งเหล่านั้นสะท้อนให้เรารู้ว่าเริ่มเข้าสู่บรรยากาศของการหาเสียงเลือกตั้งแล้วเป็นแน่
โดยการเลือกตั้งได้มีกำหนดการออกมาแล้วว่าจะเกิดขึ้นในวันที่ 14 พ.ค. 2566 และในช่วงการเลือกตั้งนี้เอง ก็ทำให้บรรยากาศทางการเมืองมักจะมีความคึกคักเป็นพิเศษ
แต่ทั้งนี้ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่คึกคักไม่แพ้กันนั่นก็คือ "ตลาดหุ้น" ดังนั้นจากปัจจัยดังกล่าว หลายบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ได้มีการออกมาประเมินสถานการณ์ตลาด รวมไปถึงกลุ่มหุ้นที่จะได้รับอานิสงส์จากการเลือกตั้งในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน ดังนั้น Techsauce จะพาไปเจาะลึกถึงสถานการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นว่าเป็นอย่างไร ? แล้วหุ้นกลุ่มใดจะได้รับอานิสงส์จากช่วงการเลือกตั้ง 66 ที่กำลังจะมาถึงในเร็ววันนี้ ?
คุณชาญชัย พันทาธนากิจ รองผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตอนนี้แนวโน้มตลาดหุ้นไทยภาพของตลาดอยู่ในภาวะมูลค่าการซื้อขายค่อนข้างที่จะเบาบาง หลังจากที่บ้านเราจะเข้าใกล้ช่วงวันหยุดยาว ประกอบกับถ้ามองปัจจัยจากภายนอกซึ่งก็คือต่างประเทศ ดังนั้นโฟกัสหลักในระยะ 1-2 สัปดาห์ข้างหน้าก็เป็นการติดตามในแง่ของตัวเลขเศรษฐกิจของฝั่งสหรัฐฯ เป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของตัวเลขภาคแรงงาน อย่างเช่น Non-Farm Payrolls (NFP), Unemployment Rate, Rate Growth และสัปดาห์หน้าเป็นเรื่องของรายงานเงินเฟ้อ ซึ่งตรงส่วนนี้ประเด็นที่ต้องติดตามจะเป็นการติดตามในส่วนของภาพของตัวเลขว่าจะมีทิศทางอย่างไร
ซึ่งหากออกมาแย่กว่าที่ตลาดคาด ตรงส่วนนี้จะทำให้ความกังวลกับในมุมของเงินเฟ้อของทางสหรัฐฯ ลดลง และในส่วนของการตีความกับดอกเบี้ยของเฟดว่าจะเข้าสู่ปลายวงจรขาขึ้น ซึ่งจะมีน้ำหนักมากขึ้น
แต่อีกด้านหนึ่ง หากประเด็นนี้ออกมาต่ำกว่าคาด ความเสี่ยงของเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ก็จะเพิ่มขึ้นตามมา ซึ่งเป็นโฟกัสหลัก ๆ ที่ต้องติดตาม ขณะที่ของไทยในระยะถัดไปหลังจากเปิดสงกรานต์ตลาดจะให้น้ำหนักในแง่ของการประกาศงบของหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ที่จะเริ่มตั้งแต่ 18 เมษายน 2566 เป็นต้นไป และหลังจากนั้นจะเป็นช่วงของการไปมองในแง่ของการพรีวิวงบไตรมาส 1 ที่จะเริ่มทยอยประกาศออกมามากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นบรรยากาศโดยรวม
เพราะฉะนั้นในช่วงสั้น ๆ ตอนที่ปัจจัยแวดล้อมไม่ได้มีแรงขับเคลื่อนอะไร มูลค่าซื้อขายจึงเบาบางลง ดังนั้นแม้ตลาดจะขึ้น-ลง ก็คงไม่รุนแรงนัก
ส่วนกลุ่มหุ้นที่มักจะได้รับการปรับขึ้นก่อนการเลือกตั้ง จะเกี่ยวข้องกับกลุ่มใดบ้าง ? คุณชาญชัย เผยว่า หากมองในมุมของตัวการเลือกตั้ง และดูในแง่สถิติในส่วนของก่อนการเลือกตั้ง ตั้งแต่ปี 2544-2562 ที่เราทำเป็นสถิติออกมา พบว่าผลตอบแทนก่อนการเลือกตั้ง 1 เดือน หุ้น หรือ Set Index จะขึ้นประมาณ 1% โดยเฉลี่ย และหุ้นในกลุ่มที่ Outperform ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นที่เกี่ยวเนื่องกับ Domestic Consumption ที่คาดหวังว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดมากขึ้นในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งมีหุ้นอย่างกลุ่มค้าปลีก, ไฟแนนซ์, และ ICT ซึ่งมักจะเป็นหุ้นที่ Outperform
จากสถิติในช่วงเวลาเดียวกันในช่วงหนึ่งสัปดาห์แรกจะปรับขึ้นได้ โดยเฉลี่ยประมาณ 38% ซึ่งถือว่ายังมีโอกาส แต่ถามว่าจะมองยังไงนั้นก็ต้องไปดูผลการเลือกตั้งว่าสิ่งที่ตลาดมอนิเตอร์อยู่คือ 1.เสถียรภาพของรัฐบาล คะแนนเสียงออกมาจะเป็นอย่างไรในแง่ของการจัดตั้งรัฐบาล เนื่องจากจะเป็นเสียงข้างมากที่การจัดพรรคมาจากไม่กี่พรรค ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นหากดูแล้วมีเสถียรภาพ ถัดมาตลาดจะดูในเรื่องของ นโยบายของพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับด้านเศรษฐกิจ ซึ่งจะหนุนในมุมของตลาดหุ้นมากน้อยแค่ไหน ?
"หากทั้งสองข้อออกมาเป็นเชิงบวก ตลาดน่าจะปรับขึ้นต่อ แต่หากออกมาในมุมที่เป็นการที่พรรคแต่ละพรรคชนะกันไม่เด็ดขาด การรวมรัฐบาลมาจากหลาย ๆ พรรคเหมือนรอบที่ผ่าน ๆ มา ตลาดก็อาจจะไม่ได้ตอบรับในเชิงบวกมากนัก เพราะในเรื่องของนโยบายต่าง ๆ ที่ออกมา ดังนั้นแรงขับเคลื่อนก็อาจจะช้าลง"
ทั้งนี้ในกลุ่มหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากนโยบายหาเสียงการเลือกตั้งของแต่ละพรรคการเมือง ได้แก่ กลุ่มค้าปลีก ยกตัวอย่างเช่น CPALL MAKRO ส่วนไฟแนนซ์ เช่น BBL SCB KBANK JMT THANI SAWAD และ ICT เช่น ADVANC
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด