
เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา งานสัมมนาออนไลน์ “Unlocking the Black Box: True Observability in Action” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง Splunk และ Techsauce ได้จบลงอย่างประสบความสำเร็จ โดยมีผู้เข้าร่วมจากหลากหลายองค์กร ตั้งแต่ Enterprise ขนาดใหญ่ไปจนถึง Startup งานนี้ได้ตอกย้ำให้เห็นว่าการมอนิเตอร์ระบบแบบเดิมๆ ไม่เพียงพออีกต่อไปและถึงเวลาที่องค์กรต้องก้าวสู่ยุคของ Observability
คุณจิรายุส นิ่มแสง CEO & Founder - Opsta ได้เริ่มด้วยการฉายภาพวิวัฒนาการของการดูแลระบบ IT ที่เปลี่ยนจากการ Monitoring ที่เน้นเก็บข้อมูลทุกอย่างมาสู่ Observability ที่มุ่งตอบคำถามว่า ‘ทำไม’ ปัญหาถึงเกิดขึ้น
หัวใจสำคัญของ Observability คือการโฟกัสข้อมูลหลัก 3 ประเภท คือ Metrics ข้อมูลเชิงตัวเลข เพื่อดูแนวโน้มของระบบ, Logs บันทึกเหตุการณ์ เพื่อสืบว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และ Traces แผนที่การเดินทางของคำสั่ง เพื่อหาคอขวดหรือจุดที่เกิดปัญหาในระบบ
คุณจิรายุสย้ำถึง Best Practices ที่สำคัญ เช่น การออกแบบ Log ให้เป็น Structured Format, การมองระบบแยกเป็น Layer และการใช้สูตร RED (Request-Error-Duration) เพื่อวัดประสบการณ์ผู้ใช้ และ USE (Utilization-Saturation-Error) เพื่อดูสุขภาพของระบบภายใน ซึ่งทั้งหมดนี้คือรากฐานของการทำ SRE (Site Reliability Engineering) ที่มีประสิทธิภาพและเป็นแนวทางของ Observability 3.0 ที่เชื่อมโยงข้อมูลทางเทคนิคเข้ากับผลกระทบทางธุรกิจโดยตรง
หลังจากเข้าใจแนวคิด คุณชุติมา กิจเจริญไพศาล Solutions Engineer - Splunk ก็ได้แสดงให้เห็นว่า Splunk สามารถเอาแนวคิดเหล่านั้นมาใช้เป็นเครื่องมือจริงได้อย่างไร
โดยบอกว่าปัญหาของหลายองค์กร คือแต่ละทีมใช้เครื่องมือของตัวเอง ทำให้ข้อมูลกระจัดกระจายและเชื่อมโยงกันไม่ได้ Splunk จึงแก้ปัญหานี้ด้วยการเป็น แพลตฟอร์มกลางที่รวบรวมและเชื่อมโยงข้อมูลจากทุกส่วนของระบบ ไม่ว่าจะเป็น Infrastructure, Application, Network ไปจนถึงประสบการณ์ของผู้ใช้งาน และได้แนะนำฟีเจอร์ที่ช่วยให้การทำงานให้ง่ายขึ้น เช่น
งานสัมมนาครั้งนี้จึงแสดงให้เห็นว่า Splunk ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือเก็บ Log แต่เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้องค์กร ‘มองเห็นและเข้าใจ’ ระบบของตนเองได้
หัวใจของ Observability คือการ ทลายกำแพงข้อมูล เพื่อให้ทุกทีมเห็นภาพเดียวกันและเข้าใจปัญหาจากศูนย์กลาง และจะเกิดอะไรขึ้นถ้านำหลักการนี้ไปใช้กับอีกหนึ่งโจทย์ใหญ่ขององค์กรอย่าง ‘ความปลอดภัยไซเบอร์’
ซึ่งปัญหาคือหลายองค์กรลงทุนสร้างศูนย์ CSOC ขึ้นมาแค่ ‘เก็บข้อมูล’ แต่ข้อมูลที่ได้มามันเยอะและกระจัดกระจายเกินไป ทำให้ทีมต้องเจอกับการแจ้งเตือนที่ไม่สำคัญ ซึ่งอาการแบบนี้เรียกว่า 'Alert Fatigue' และนี่คือช่องโหว่ที่ทำให้ภัยคุกคามจริงๆ แอบเข้ามาโดยไม่มีใครรู้
Splunk จึงเสนอแนวทางใหม่ในการยกระดับศูนย์ CSOC ให้ทำงานได้ฉลาดขึ้น โดยอาศัยองค์ประกอบสำคัญ 2 ส่วน
ส่วนแรกคือ Security Data Fabric ที่ทำหน้าที่เป็นรากฐาน โดยจะรวบรวมข้อมูลจากทั้งฝั่ง Security และ Observability มาไว้ที่เดียวกัน แล้วจัดระเบียบให้ข้อมูลทั้งหมด ‘พูดภาษาเดียวกัน’ และเชื่อมโยงกันได้
ส่วนที่สองคือ Agentic AI ที่เปรียบเสมือน ‘สมองกล’ ของระบบ แทนที่จะทำงานตามกฎตายตัวเหมือนเมื่อก่อน AI ตัวนี้สามารถคิด วิเคราะห์ และจัดการปัญหาได้เอง เช่น แค่สั่งให้ไปตรวจสอบพฤติกรรมผู้ใช้ X ใน 24 ชั่วโมงล่าสุด AI ก็จะเริ่มทำงานทั้งหมดให้ทันที ตั้งแต่การรวบรวมข้อมูลจากทุกแหล่ง, วิเคราะห์หาความผิดปกติ, เปรียบเทียบกับเทคนิคของแฮกเกอร์ และนำข้อมูลไปเทียบกับฐานข้อมูลภัยคุกคามทั่วโลก จนถึงการสรุปเป็นรายงานพร้อมแนวทางแก้ไขเบื้องต้นให้ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเสร็จภายในไม่กี่นาที
ซึ่งการใช้แพลตฟอร์มเดียวจะช่วยให้ทีมต่าง ๆ เชื่อมโยงเหตุการณ์ที่ดูไม่เกี่ยวข้องกันได้ เช่น ปัญหาเว็บช้าที่ทีมหนึ่งเจอ อาจเกี่ยวข้องกับการโจมตี SQL Injection ที่อีกทีมตรวจพบ ทำให้องค์กรรับมือได้ตรงจุดและเร็วขึ้น
การจัด Webinar ครั้งนี้สะท้อนภาพลักษณ์ของ Splunk ใน 3 ด้านหลัก
1. ผู้นำด้าน Observability และ Digital Resilience
ด้วยประสบการณ์และเครื่องมือที่องค์กรทั่วโลกใช้งานจริง Splunk แสดงให้เห็นถึงความน่าเชื่อถือในฐานะแบรนด์ที่ช่วยให้องค์กรจัดการระบบดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. มีผลิตภัณฑ์ครบวงจร ตอบโจทย์องค์กรทุกขนาด
Splunk Observability เป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมข้อมูลจากทุกส่วนของระบบ ทั้ง IT, Security และ Business Health ไว้ในที่เดียว ทำให้การติดตามและดูแลระบบง่ายขึ้นและเห็นภาพรวมชัดเจนขึ้น
3. ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจข้อมูลได้ง่ายขึ้น
ฟีเจอร์อย่าง AI Assistant และ Glass Tables ช่วยให้ผู้ใช้มองเห็น Insight จากข้อมูลที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้น แม้ไม่ใช่สายเทคนิค ก็สามารถเข้าใจภาพรวมของระบบและปัญหาที่เกิดขึ้นได้ทันที
นอกจากนี้ผู้เข้าร่วม Webinar ให้ความเห็นว่าเนื้อหาในงานสามารถนำไปใช้ได้จริง ทั้งด้านเทคนิคและการตัดสินใจเชิงธุรกิจ ทำให้งานนี้ไม่ใช่แค่การสาธิตเครื่องมือ แต่เป็นการแนะนำแนวทางใหม่ในการบริหารและมอนิเตอร์ IT ที่ทำให้ผู้ใช้เห็นภาพรวม เข้าใจปัญหาและแก้ไขปัญหาได้รวดเร็ว
งานสัมมนา “Unlocking the Black Box: True Observability in Action” จึงถือเป็นความสำเร็จที่ชัดเจนของ Splunk ทั้งด้าน branding และ product แสดงให้เห็นว่า Splunk ไม่เพียงเป็นผู้นำด้าน Observability แต่ยังช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจระบบ IT และนำไปปรับใช้จริงเพื่อสร้างผลลัพธ์ต่อธุรกิจ
สนใจยกระดับ CSOC ของคุณสู่ยุค Data Intelligence?

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด