aCommerce Group ผู้นำการให้บริการขับเคลื่อนธุรกิจอีคอมเมิร์ซอย่างครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 1,942,422,738 หุ้น พร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในกลุ่มเทคโนโลยี ภายในปีนี้ โดยเงินระดมทุนที่ได้จากการขายหุ้น IPO ในครั้งนี้จะใช้เป็นเงินทุนเข้าซื้อกิจการที่อาจมีขึ้นในอนาคต ลงทุนในแพลตฟอร์ม EcommerceIQ และเทคโนโลยีด้านอื่นๆ พัฒนาผลิตภัณฑ์ EcommerceIQ SaaS และเป็นเงินทุนหมุนเวียนโดยทั่วไป
aCommerce สตาร์ทอัพผู้ให้บริการด้าน E-Commerce ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2559 ปัจจุบันเป็นผู้นำให้บริการสนับสนุนธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-commerce enabler) อย่างครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนโดยให้บริการครอบคลุม 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์และสิงคโปร์ มีบริการที่หลากหลายและครบวงจร ภายใต้แพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่มี API เชื่อมต่อกว่า 300 รายการ และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนธุรกิจอีคอมเมิร์ซเต็มรูปแบบสามารถรองรับคำสั่งซื้อมากกว่า 330,000 คำสั่งซื้อต่อวัน
ในปี 2564 aCommerce ได้บริหารจัดการ E-Commerce แบบครบวงจรให้กับแบรนด์สินค้าระดับโลกและระดับท้องถิ่น รวมกว่า 168 ราย โดย 13 แบรนด์เป็นแบรนด์ระดับโลกจากลำดับ 100 แบรนด์แรก
aCommerce มีส่วนแบ่งทางการตลาดประมาณร้อยละ 16.5 เมื่อพิจารณาจากยอดขายสินค้ารวม (Gross Merchandise Value หรือ GMV) ปี 2563 อ้างอิงข้อมูลจาก Euromonitor
aCommerce มุ่งมั่นที่จะช่วยทำให้การประกอบธุรกิจอีคอมเมิร์ซในอาเซียนเป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับแบรนด์ระดับโลกและระดับท้องถิ่น พาแบรนด์ก้าวข้ามผ่านความท้าทายด้านกฎหมายอีคอมเมิร์ซในแต่ละประเทศ และความซับซ้อนโลจิสติกส์ในแต่ละท้องถิ่น และมีการเติบโตที่ก้าวกระโดดเหมือนเช่นที่บริษัทฯ ได้เคยช่วยเพิ่มยอดขายให้กับลูกค้าแบรนด์ 10 อันดับแรกของบริษัทฯ ให้เติบโตถัวเฉลี่ยกว่าร้อยละ 71.7 ต่อปีตั้งแต่ปี 2562
aCommerce ดำเนินธุรกิจมากว่า 9 ปี ได้รับความเชื่อถือจากแบรนด์ระดับโลกและระดับประเทศอย่างต่อเนื่อง อาทิเช่น 3M และ Unilever โดยบางแบรนด์ยังคงใช้บริการของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่องตั้งแต่บริษัทฯ เริ่มดำเนินธุรกิจในปีแรก
สำหรับจุดแข็งของบริษัท คือ การมีประสบการณ์ที่ยาวนานในการบริหารจัดการธุรกิจอีคอมเมิร์ซให้กับแบรนด์ระดับโลก ทำให้สามารถให้กลยุทธ์การขาย โปรโมชั่น ช่องทางการโฆษณา และราคาขายที่เหมาะสมกับช่องทางออนไลน์ที่ทำให้แบรนด์สามารถรักษาภาพลักษณ์และส่งเสริมธุรกิจออฟไลน์ของแบรนด์ได้ด้วย
และเมื่อประกอบกับโครงสร้างพื้นฐานและแพลตฟอร์มเทคโนโลยีลิขสิทธิ์เฉพาะของบริษัทฯ อย่าง EcommerceIQ ที่สามารถรองรับการดำเนินธุรกิจอีคอมเมิร์ซขนาดใหญ่อย่างครบวงจรให้กับแบรนด์ และการมีความสัมพันธ์และระบบเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการโลจิสติกส์กว่า 30 รายใน 5 ประเทศทำให้บริษัทฯ สามารถเลือกผู้ให้บริการที่ดีที่สุดเพื่อการจัดส่งถึงมือผู้บริโภคได้อย่างตรงเวลาภายใต้ต้นทุนที่เหมาะสม
นอกจากนี้ข้อมูลที่ผ่านแพลตฟอร์มเทคโนโลยีของบริษัทฯ จะได้รับการจัดเก็บวิเคราะห์และประมวลผลเพื่อนำเสนอกลยุทธการขายในครั้งต่อไปให้กับแบรนด์ จุดแข็งทั้งหมดเหล่านี้ทำให้บริษัทฯ มีความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องกับแบรนด์ผู้ใช้บริการ และทำให้มียอดขายสินค้าแบบที่บริษัทฯ ให้บริการครบวงจร (End-to-End Merchandise Value) เติบโตอย่างต่อเนื่องกว่าร้อยละ 51.65 ต่อปีตั้งแต่ปี 2562
การให้บริการที่หลากหลายอย่างครบวงจรของบริษัทฯ ประกอบไปด้วย โซลูชั่นที่จะสนับสนุนแบรนด์สินค้าต่างๆ ให้สามารถพัฒนาการจำหน่ายสินค้าบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ทั้งเว็บสโตร์ มาร์เก็ตเพลสและโซเชียลมีเดีย ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
โดยมีบริการครอบคลุมทั้งการออกแบบและพัฒนาร้านค้าออนไลน์ (Webstore Development) การบริหารร้านค้าให้กับแบรนด์ต่างๆ (Brand Store Operations) การให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์ (E-commerce Strategy Consulting) เช่น กำหนดราคา, ทำโปรโมชั่น, บริหารสินค้าคงคลัง เป็นต้น บริการคลังสินค้าครบวงจร (Warehousing and Fulfillment) เพื่ออำนวยความสะดวกด้านโลจิสติกส์และบริหารสต๊อกสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ การรับชำระเงินและการจัดส่งสินค้า (Payment and Delivery)
เช่น เชื่อมต่อกับผู้ให้บริการจัดส่งสินค้า เป็นต้น การวิเคราะห์ข้อมูลและให้ข้อมูลในเชิงลึก (Data Analytics and Insights) เพื่อกำหนดหรือปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ตลอดจนมีศูนย์บริการและดูแลลูกค้า (Customer Care Solutions) เพื่อช่วยเหลือแบรนด์ต่างๆ ในการสื่อสารกับลูกค้า
นอกจากนี้ บริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์ ซอฟต์แวร์ as-a-service (SaaS) ซึ่งปัจจุบันให้บริการ Market Insights และ Client Analytic ที่บริษัทฯ ได้รับค่าธรรมเนียมแบบสมัครสมาชิก โดยบริษัทฯ อยู่ระหว่างการพัฒนา Ecommerce IQ SaaS นี้ เพิ่มเติมให้เป็น Full-suite โดยการนำ function ที่มีอยู่บนแพลตฟอร์มเทคโนโลยี Ecommerce IQ ที่ให้กับแบรนด์ผู้ใช้บริการแบบ end-to-end solution อยู่แล้วของบริษัทฯ (เช่น การบริหารช่องทางการขายออนไลน์แบบอัตโนมัติ การคัดเลือกผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่มีต้นทุนที่เหมาะสมและรวดเร็วที่สุดโดยอัตโนมัติ) นำมาทำให้มีความเป็นมิตรต่อผู้ใช้งานและเป็นระบบอัตโนมัติมากขึ้น เพื่อให้แบรนด์ SME หรือแบรนด์ขนาดใหญ่ สามารถใช้บริการได้ด้วยตนเอง (self-service) เป็นการขยายฐานลูกค้า และเพิ่มอัตราการทำกำไร เนื่องจาก SaaS นั้นพัฒนาบนแพลตฟอร์มเทคโนโลยี Ecommerce IQ ของบริษัทฯ ที่ได้รับการพัฒนามากว่า 9 ปีแล้ว ภายใต้งบที่ได้ลงทุนไปแล้วกว่า 800 ล้านบาท
การให้บริการสนับสนุนธุรกิจอีคอมเมิร์ซอย่างครบวงจรของบริษัทฯ ดำเนินการผ่านแพลตฟอร์มทางเทคโนโลยีที่ทันสมัย ได้แก่
1) แพลตฟอร์มเทคโนโลยี "EcommerceIQ" ที่ช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถใช้ประโยชน์จากชุดเครื่องมือต่างๆ เช่น การบริหารการจัดจำหน่ายหลายช่องทางการขาย (Channel Management) การจัดการคำสั่งซื้อ (Order Management) การบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ (Logistics Management) การบริหารจัดการผู้บริโภค (Customer Management) และการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) เพื่อความสะดวกในการทำธุรกรรมอีคอมเมิร์ซและจัดเก็บข้อมูลต่างๆ โดยรองรับคำสั่งซื้อสินค้าได้กว่า 330,000 ออเดอร์ต่อวัน
2) ผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ ‘EcommerceIQ SaaS’ ซึ่งติดตั้งภายใต้แพลตฟอร์ม EcommerceIQ โดยให้บริการในรูปแบบสัญญาเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงแก่ผู้ใช้บริการให้สามารถเข้าใจผู้บริโภคและคู่แข่ง กำหนดราคาสินค้า วางตำแหน่งการตลาดให้กับแบรนด์ได้อย่างถูกต้อง พัฒนากลยุทธ์ด้านอีคอมเมิร์ซและความสัมพันธ์กับผู้บริโภคในทุกช่องทาง นอกจากนี้คาดว่าในปี 2565 – 2566 จะนำเสนอบริการเพิ่มเติม ได้แก่ การบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์, บริหารจัดการช่องทางการขายและคำสั่งซื้ออีคอมเมิร์ซ, เปิดตัวและบริหารร้านค้าออนไลน์ และการขายออนไลน์ตรงถึงผู้บริโภค (DTC)
3) ผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์หรือบริการอย่างใดอย่างหนึ่ง (Value Added Services) ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เช่น การพัฒนาเว็บสโตร์, บริหารจัดการคลังสินค้าและโลจิสติกส์ เป็นต้น
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ลงทุนพัฒนาแพลตฟอร์มเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เริ่มดำเนินธุรกิจมากว่า 9 ปี โดยเชื่อมต่อเข้ากับซอฟต์แวร์ช่องทางการเชื่อมต่อ (Application Programing Interfaces หรือ APIs) ของบริษัทมีจำนวนกว่า 300 การเชื่อมต่อไปยังแพลตฟอร์มและผู้ให้บริการต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ ประกอบด้วย แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ ผู้ให้บริการรับชำระเงิน แพลตฟอร์มสินค้าคงคลัง ลูกค้า และผู้ที่เกี่ยวข้องในระบบนิเวศน์การขายสินค้าออนไลน์ จึงทำให้แบรนด์สินค้าไม่ต้องลงทุนด้านเทคโนโลยีเองเพื่อรองรับการใช้บริการอีคอมเมิร์ซ
นับจากเริ่มดำเนินธุรกิจปี 2556 aCommerce เชื่อมต่อแบรนด์กับผู้บริโภคปลายทางแล้วกว่า 12 ล้านราย โดย ณ สิ้นปี 2564 มีแบรนด์สินค้าในไทยและระดับโลกที่ใช้บริการถึง 168 ราย ซึ่งมาจากหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ 3เอ็ม, ยูนิลีเวอร์, ควิกซิลเวอร์, นารายา ฯลฯ บริหารจัดการสินค้ากว่า 39,221 รายการ และบริหารจัดการีคำสั่งสั่งซื้อถึง 8.02 ล้านรายการ ขณะที่มูลค่าคำสั่งซื้อสินค้าเฉลี่ยใน 5 ประเทศที่ให้บริการ ณ ไตรมาส 4/2564 อยู่ที่ 1,331.2 บาทต่อออเดอร์ เทียบกับไตรมาส 1/2563 อยู่ที่ 1,059 บาทต่อออเดอร์ และเป็นไตรมาสที่บริษัทฯ เริ่มมีกำไรสุทธิอยู่ที่กว่า 45.9 ล้านบาท
นอกจากการเติบโตในช่วงที่ผ่านมา aCommerce ยังได้มีการลงนามในข้อตกลงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ DKSH ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านการขยายตลาดชั้นนำในภูมิภาคเอเชีย และ DKSH ยังเป็นพันธมิตรที่ยอดเยี่ยมและเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่เชิงกลยุทธ์ของเรามาตั้งแต่ปี 2558 ด้วยข้อตกลงใหม่นี้ DKSH จะร่วมมือเป็นพาร์ทเนอร์กับ aCommerce เพียงรายเดียว อีกทั้ง DKSH จะโอนและแนะนำแบรนด์ที่ต้องการขยายธุรกิจ online ฺB2C ในประเทศดังกล่าวมาให้กับ aCommerce ทั้งหมด
ในไตรมาสที่ 4/ 2564ที่ผ่านมาแบรนด์ที่ใช้บริการของ aCommerce แบบ end-to-end เพิ่มขึ้นจาก 120 แบรนด์ เป็น 168 แบรนด์ ส่วนใหญ่รับโอนมาจาก DKSH โดยเฉพาะลูกค้าในมาเลเซีย และสิงคโปร์ ทำให้มีโอกาสได้ให้บริการแก่แบรนด์ใหม่ๆ หลายรายจาก DKSH รวมถึงบริษัทได้มีการวางแผนที่จะเร่งขยายธุรกิจไปยังเวียดนามหลังจากที่เสนอขายหุ้น IPO เพื่อสนับสนุน DKSH และแบรนด์ในระดับโลกและภูมิภาคที่เป็นลูกค้าของบริษัทในปัจจุบัน ที่ต้องการให้บริษัทให้บริการในประเทศเวียดนาม
บริษัทวิจัยการตลาดชั้นนำ Euromonitor คาดการณ์ว่าภาพรวมการทำธุรกรรมอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์) จะมีมูลค่าตลาดรวมเพิ่มขึ้นจาก 52,302 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2563 เป็น 129,152 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2568 หรือเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 19.8 ต่อปี จากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล หลังจากเกิดการแพร่ระบาดของ COVID-19 การเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ตอย่างครอบคลุมและการพัฒนาระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์
จากข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับภาพรวมตลาดผู้ให้บริการสนับสนุนธุรกิจอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่คาดว่าจะมีมูลค่าตลาดรวมเพิ่มขึ้นจาก 2,331 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2563 เป็น 10,740 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2568 จากการปรับตัวของแบรนด์สินค้าที่ต้องการจำหน่ายสินค้าแบบหลากหลายช่องทาง (Omnichannel)
บริษัทฯ จึงวางกลยุทธ์ขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง ได้แก่
1.มุ่งพัฒนาความสัมพันธ์ในฐานะพันธมิตรกับกลุ่มผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจรระดับโลกของบริษัทฯ เพื่อเพิ่มจำนวนแบรนด์และรายการสินค้า
2.ลงทุนพัฒนาแพลตฟอร์มทางเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการ
3.ขยายพื้นที่ให้บริการไปยังประเทศเวียดนามและยกระดับการดำเนินธุรกิจในมาเลเซียเพื่อสร้างการเติบโตที่ดี
4.ขยายฐานผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจรรายใหม่และกลุ่มสินค้าใหม่ๆ ในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
5.มุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ EcommerceIQ SaaS ทั้งในด้านคุณสมบัติการใช้งานและความปลอดภัยในการรักษาข้อมูลเพื่อขยายฐานผู้ใช้บริการรายใหม่เพิ่มขึ้น
6. พิจารณาเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เพื่อรองรับการพัฒนาเทคโนโลยีและขยายตลาดในประเทศใหม่ๆ ทั้งนี้ โอกาสในการควบรวมกิจการมีอยู่เป็นจำนวนมากสำหรับผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด ecommerce enabler ที่มีความ fragmented ตัวอย่างเช่น ผู้เล่นอันดับ 1-5 ในประเทศเวียดนามมีมูลค่าสินค้าที่บริหารจัดการรวมกันทั้งหมดน้อยกว่า GMV ของ aCommerce ในปี 2563 ทำให้ aCommerce มีโอกาสเข้าซื้อกิจการหรือเข้าร่วมทุนและพัฒนาศักยภาพของของกิจการร่วมทุนในอนาคตให้เติบโต
ส่วนภาพรวมธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยช่วงที่ผ่านมาเติบโตอย่างต่อเนื่องสอดคล้องกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีมูลค่าตลาดรวมเพิ่มขึ้นจาก 1,705 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2559 เป็น 8,520 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2563 หรืออัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีร้อยละ 49.5
นอกจากนี้ Euromonitor คาดการณ์ว่า ในปี 2563 – 2568 ภาพรวมธุรกิจอีคอมเมิร์ซในไทยจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีร้อยละ 20.6 โดยจะมีมูลค่าตลาดรวมเพิ่มขึ้นจาก 10,140 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2564 เป็น 21,712 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2568 เนื่องจากรายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากรที่เพิ่มขึ้น การพัฒนาระบบจัดส่งสินค้าและการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคที่คาดว่าจะสั่งซื้อสินค้าทางออนไลน์ต่อไป ถึงแม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในอนาคตจะคลี่คลาย
ทั้งนี้ บริษัทฯ ถือเป็นผู้ให้บริการสนับสนุนธุรกิจอีคอมเมิร์ซอย่างครบวงจรที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในประเทศไทยในปี 2563 อยู่ที่ร้อยละ 39.1 ของส่วนแบ่งทางการตลาดของยอดขายสินค้าจากต้นทางไปยังปลายทาง (EMV) ในประเทศไทยที่ 192.8 ล้านเหรียญสหรัฐ
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด