Tesla จากที่เคยถูกมองว่าเป็นบริษัทนวัตกรรมที่ล้ำหน้ากว่าใครในอุตสาหกรรมรถ EV อย่างไม่เห็นฝุ่น แต่ปัจจุบันสมรภูมิการแข่งขันกลับร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อผู้เล่นรายใหญ่จากจีนอย่าง BYD กำลังไล่ตามทัน ไม่เพียงแค่ในด้านยอดขาย แต่ยังรวมถึงเทคโนโลยีรถยนต์ขับขี่อัตโนมัติที่ Tesla เคยเป็นผู้นำ ด้วยเทคโนโลยีเซนเซอร์อัจฉริยะต้นทุนต่ำ ประสิทธิภาพสูง
Tesla ครั้งหนึ่งเคยได้รับการประเมินมูลค่าตลาดสูงลิ่ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแนวคิดที่ว่า Tesla ไม่ได้เป็นแค่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า แต่เป็นบริษัทเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และหุ่นยนต์ เป้าหมายหลักของบริษัทจึงไม่ใช่แค่การขายรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูก แต่เป็นการพัฒนาซอฟต์แวร์ AI ที่ทำให้รถขับเคลื่อนได้อัตโนมัติ และพัฒนาหุ่นยนต์ที่สามารถทำงานแทนมนุษย์ได้ อย่างไรก็ตาม โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ Tesla กำลังเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่น่ากลัวจากจีน
BYD บริษัท EV ชั้นนำจากจีน เปิดตัว "God’s Eye" มาพร้อมกับเซ็นเซอร์ LiDAR ที่ช่วยให้การตรวจจับวัตถุแม่นยำยิ่งขึ้นสำหรับเทคโนโลยีรถยนต์ขับขี่อัตโนมัติ ข้อมูลจากวิดีโอต่าง ๆ ในจีนแสดงให้เห็นว่าระบบขับขี่อัตโนมัติของ BYD สามารถเทียบเคียงกับ Tesla Full Self-Driving (FSD) ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย ความแตกต่างที่น่าสนใจคือแนวทางการพัฒนาที่ต่างกัน โดย BYD เน้นการใช้เซ็นเซอร์ LiDAR ที่ให้ความแม่นยำสูงในการตรวจจับวัตถุ ในขณะที่ Tesla มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาซอฟต์แวร์ AI ที่ซับซ้อนเพื่อประมวลผลข้อมูลจากกล้อง และยังคงยืนยันว่ากล้องเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอหากได้รับการฝึกฝนด้วยข้อมูลการขับขี่มหาศาล
BYD กำลังเร่งพัฒนาเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัตินี้และนำไปติดตั้งในรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัด เช่น BYD Seagull ที่มีราคาเพียง 9,500 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.2 แสนบาท ซึ่งมาพร้อมกับฟีเจอร์ "God’s Eye" เช่นกัน จากที่ก่อนหน้านี้ เทคโนโลยีดังกล่าวมีเฉพาะในรถรุ่นหรูที่มีราคามากกว่า 28,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 9.5 แสนบาท การที่ BYD ขยายฟีเจอร์นี้ไปยังรถรุ่นอื่น ๆ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ซึ่งถือเป็นความเคลื่อนไหวสำคัญที่อาจทำให้ Tesla ต้องเร่งมือปรับกลยุทธ์
เนื่องด้วยรัฐบาลจีนสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าผ่านนโยบายจูงใจที่แข็งแกร่ง ซึ่งช่วยให้ BYD ทำกำไรได้จากการขายรถยนต์ไฟฟ้า ในปี 2024 BYD ขายรถยนต์ได้มากกว่า 4 ล้านคัน และได้ขยายตลาดไปยังยุโรปและอเมริกาใต้ ขณะที่แบรนด์ตะวันตกเริ่มเสียส่วนแบ่งการตลาด การที่ BYD สามารถขยายการผลิตไปยังประเทศต่าง ๆ เช่น บราซิล ช่วยเสริมให้จีนสร้าง soft power ได้ในระดับโลก
Tesla ต้องเผชิญความท้าทายในหลายด้าน ทั้งยอดขายที่ลดลงในตลาดหลักๆ เช่น แคลิฟอร์เนียและเยอรมนี ปัญหาทางการเมืองของ Elon Musk ที่อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของบริษัท และการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าของสหรัฐฯ ที่ลดลง อย่างไรก็ตาม Tesla ยังคงมีความได้เปรียบในด้านเครือข่าย Supercharger ที่ครอบคลุมและเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ก้าวหน้า
แต่การที่ BYD สามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าราคาประหยัดและมีเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติที่เทียบเคียงกันได้นั้น กำลังสร้างแรงกดดันอย่างมากต่อ Tesla ในการรักษาตำแหน่งผู้นำของตน หาก Tesla ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน มีความเป็นไปได้ที่อาจเสียตำแหน่งผู้นำให้กับคู่แข่งจากจีนได้ในอนาคต
อ้างอิง: gizmodo
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด