มาแล้ว! ประกาศใช้กฎหมายควบคุมและเก็บภาษีจาก "สินทรัพย์ดิจิทัล" อย่างเป็นทางการ ครอบคลุมทั้ง Cryptocurrency, ICO และ ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมด
มาแล้ว! กฎหมายควบคุม-เก็บภาษี "สินทรัพย์ดิจิทัล" ครอบคลุมทั้ง Cryptocurrency, Digital Token, ICO และผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมด โดยมีการออกกฎหมายมาด้วยกัน 2 ฉบับ ได้แก่
เมื่อช่วงเย็นวันที่ 7 มี.ค. ที่ผ่านมา หลังจากการประชุมร่วมกับนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ถึงแนวทางการกำกับดูแลเรื่องการระดมทุนด้วยเงินดิจิทัลหรือ ICO (Initial Coin Offering) รวมทั้งเรื่องเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) แหล่งข่าวของประชาชาติธุรกิจกล่าวว่า
เรื่องนี้จำเป็นเร่งด่วน เพราะมีบริษัทสนใจระดมทุนกันมาก ทำให้ต้องรีบดูแลนักลงทุนรายย่อย และเนื่องจากเป็นเรื่องใหม่ มีศัพท์ดิจิทัลใหม่ ๆ เกี่ยวข้องมาก จึงเห็นควรให้เสนอเป็น พ.ร.ก. เพราะสามารถใช้อำนาจรัฐบาลที่เป็นฝ่ายบริหารประกาศบังคับใช้ได้เลย ไม่ต้องผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) 3 วาระ ซึ่งต้องใช้เวลานาน 3-4 เดือนเป็นอย่างต่ำ
ใน พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 จะมีผลบังคับใช้ในวันพรุ่งนี้ หรือวันที่ 14 พฤษภาคม 2561
ส่วน พ.ร.ก. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2561 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้ (13 พฤษภาคม 2561)
ซึ่ง พ.ร.ก. การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ที่ประกาศใช้จะครอบคลุมการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลในทุกเรื่อง ทั้ง ICO, Cryptocurrency (คริปโทเคอร์เรนซี) และ Token (โทเคน) ต่าง ๆ รวมทั้งวางหลักเกณฑ์สำหรับผู้เกี่ยวข้อง อาทิ ผู้ที่จะระดมทุน ICO ตัวกลางซื้อขาย ผู้จะจัดทำแพลตฟอร์มตลาดรอง และคุณสมบัติผู้ลงทุน
รายละเอียดมีดังนี้
พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล กำหนดนิยามของสินทรัพย์ดิจิทัลในมาตรา 3 ดังนี้
นอกจากนี้ มาตรา 5 ยังย้ำว่า หลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ไม่ให้ถือเป็นคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัลตาม พ.ร.ก. ดังกล่าวอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีการกำหนดนิยามของ "ธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล" ว่าประกอบไปด้วย
นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบในหลักการ จัดทำร่าง พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล
โดยที่ประชุม ให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นหน่วยงานกำกับดูแลตาม พ.ร.ก. นี้ โดย ก.ล.ต.จะต้องกำกับดูแลทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมด
มาตรา 10 ของ พ.ร.ก. ระบุว่า
เพื่อประโยชน์ในการกำกับและควบคุมการออกและเสนอขายโทเคนดิจิทัลและการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ให้คณะกรรมการ ก.ล.ต. มีหน้าที่และอำนาจวางนโยบายเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนา ตลอดจนกำกับและควบคุมสินทรัพย์ดิจิทัลและผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลตามที่บัญญัติไว้ในพระราชกำหนดนี้
นอกจากนี้ยังให้ หน้าที่และอำนาจอื่น ๆ แก่ ก.ล.ต. ได้แก่
ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีหน้าที่เพียงรักษาการตามพระราชกำหนดนี้ และมีอำนาจแค่ออกประกาศและแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการตาม พ.ร.ก. นี้
นอกจากนี้กฎหมายบังคับให้ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลและผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล จะต้องปฎิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินอีกด้วย
พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ได้กำหนดบทลงโทษผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ทั้งทางอาญาและทางแพ่งรวมแล้วมากกว่า 40 มาตรา เช่น
กรณีที่มีบริษัทดำเนินการระดมทุน ICO (Initial Coin Offering) ไปก่อนหน้าที่ พ.ร.ก. มีผลบังคับใช้ กฎหมายมีบทเฉพาะกาลให้ต้องมาขึ้นทะเบียนกับ ก.ล.ต.ใน 90 วัน (ประมาณ 3 เดือน)
นอกจากนี้นายณัฐพรยังระบุต่อว่าปัจจุบันประมวลรัษฎากรยังไม่ได้กำหนดเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล จึงอาจเกิดความไม่ชัดเจน ดังนั้น ครม. เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (กฎหมายเกี่ยวกับการเก็บภาษี) โดยมีการเพิ่มประเภทย่อยของเงินได้พึงประเมินอีก 2 ประเภทสำหรับเงินได้เนื่องมาจากทรัพย์สินดิจิทัลใน ดังนี้
โดยได้กำหนดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 15 สำหรับเงินได้พึงประเมินอีกด้วย ซึ่งผู้มีเงินได้ต้องนำไปรวมคำนวณเงินได้สุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย
สำหรับการกำหนดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลหัก ณ ที่จ่ายนั้นสามารถดำเนินการโดยการออกกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยภาษีเงินได้และคำสั่งกรมสรรพากร เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากรมีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย เมื่อ พ.ร.ก. ฉบับนี้มีผลใช้บังคับแล้ว
เหตุผลในการประกาศใช้ พ.ร.ก. การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ใน พ.ร.ก. ระบุว่า ในปัจจุบันได้มีการนำคริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมาใช้เป็นเครื่องมือในการระดมทุนผ่านการเสนอขายโทเคนดิจิทัลต่อประชาชน เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน รวมถึงนำมาซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนในศูนย์ซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัล
แต่ยังไม่มีกฎหมายที่กำกับหรือควบคุมการดำเนินการดังกล่าวในประเทศไทย ซึ่งทำให้มีการประกอบธุรกิจหรือการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงิน ระบบเศรษฐกิจของประเทศ และเกิดผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง
ดังนั้น เพื่อกำหนดให้มีการกำกับและควบคุมการประกอบธุรกิจและการดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล และเพื่อรองรับการนำเทคโนโลยีมาทำให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน อันจะเป็นการสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบธุรกิจที่มีศักยภาพมีเครื่องมือในการระดมทุนที่หลากหลาย รวมทั้งประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้องมีข้อมูลที่ชัดเจนเพียงพอเพื่อใช้ในการตัดสินใจ เกิดความโปร่งใสในการดำเนินการ และป้องกันมิให้มีการนำสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่มีแหล่งที่มาที่ชัดเจนไปใช้ประโยชน์หรือกระทำการใดในลักษณะที่เป็นการหลอกลวงประชาชนหรือที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาชญากรรม และโดยที่เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้
เพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้
ส่วนเหตุผลในการประกาศใช้ พ.ร.ก. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2561 ใน พ.ร.ก. ระบุว่า ในปัจจุบันได้มีการถือหรือครอบครอง โทเคนดิจิทัล หรือการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัลซึ่งเงินได้จากกรณีดังกล่าว เป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษี
แต่โดยที่ยังไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายเพื่อการจัดเก็บภาษีเงินได้จากคริปโทเคอร์เรนซีหรือโทเคนดิจิทัลเป็นการเฉพาะเป็นเหตุให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้ครบถ้วน ดังนั้น เพื่อให้การจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในกรณีดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
จึงมีความจำเป็นที่ต้องแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
เป็นกฎหมายเกี่ยวด้วยภาษีอากรซึ่งจะต้องได้รับการพิจารณาโดยด่วนและลับเพื่อรักษาประโยชน์ของแผ่นดิน จึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้
นอกจากนี้แล้ว ยังมีกฎหมายลูกอื่น ๆ ที่จะออกมาจากกระทรวงการคลังประมาณ 10 ฉบับ และจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อีก 5 ฉบับ เพื่อกำหนดรายละเอียดที่ชัดเจนขึ้น ทั้งนี้จะมีการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบธุรกิจด้านสินทรัพย์ดิจิทัล ได้แก่ ผู้ที่เป็นตัวกลางหรือศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล, ผู้ที่เป็นนายหน้า (โบรกเกอร์) และผู้ที่เป็นผู้ค้า (ดีลเลอร์) เพื่อให้ทราบข้อมูลจำนวนของผู้ที่ดำเนินธุรกิจดังกล่าว
ปรับปรุงข้อมูลจาก สำนักข่าวไทย, คมชัดลึก, ประชาชาติธุรกิจ (1) และ ประชาชาติธุรกิจ (2)
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด