เดินหน้าอย่างต่อเนื่อง สำหรับโครงการ U.REKA ที่จัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือของ Digital Ventures, Microsoft ประเทศไทย, The Knowledge Exchange of Innovation (KX), สถาบันอุดมศึกษา และองค์กรเอกชนภาคอุตสาหกรรม ที่ร่วมกันสนับสนุนผู้สนใจคิดค้นนวัตกรรมจากเทคโนโลยีขั้นสูงหรือ Deep Technology เพื่อพัฒนาให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการเพื่อนำออกสู่ตลาดได้จริง โดยล่าสุดทางโครงการ U.REKA ได้ประกาศรายชื่อ 11 ทีมสุดท้ายที่ได้เข้าสู่ขั้น Incubation เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นายอรพงศ์ เทียนเงิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ดิจิทัล เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า “เป็นเรื่องน่ายินดีที่เห็นผู้เข้าร่วมโครงการหลากหลายด้านรวมตัวกันมาสมัครเข้าร่วมโครงการ U.REKA มากถึง 63 ทีม จากสถาบันการศึกษาชั้นนำทั้งไทย และต่างประเทศ พร้อมกับมี 32 ทีมได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมกิจกรรม Ideation Bootcamp เป็นเวลา 3 วัน เพื่อรับโจทย์ในการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะแก้ปัญหาให้กับ 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ การเงิน การท่องเที่ยว และการค้าปลีก โดยอาศัยเทคโนโลยีชั้นสูงช่วยผลักดันการแก้ปัญหา ซึ่งหลังจากการคัดเลือกที่เข้มข้นตลอด 3 วัน เราได้ประกาศรายชื่อ 11 ทีมสุดท้ายที่ผ่านการคัดเลือกเข้าสู่ช่วง Incubation ของโครงการ โดยแต่ละทีมจะได้รับเงินทุนตั้งต้นจำนวน 200,000 บาทเพื่อใช้สำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีในช่วง 3 เดือนของ Incubation ซึ่งทุกทีมมาพร้อมกับไอเดียเริ่มต้นที่ดี หากนวัตกรรมที่พวกเขาช่วยกันคิดค้นขึ้นได้รับการพัฒนาจนได้นำออกมาใช้จริง เรามั่นใจว่าจะมีส่วนช่วยให้ภาคธุรกิจต่างๆ พัฒนาไปอย่างรุดหน้า ทั้งยังเป็นการสร้างการเติบโตและการพัฒนาให้กับประเทศไทยในภาพรวมอีกด้วย”
11 ทีมที่ผ่านเข้ารอบ Incubation ในโครงการ U.REKA ได้แก่
- AIM Global Innovation กับ “เทคโนโลยีหุ่นยนต์ เพื่อนผู้สูงอายุ” ที่พัฒนาขึ้นเพื่อฝึกความคิดและความจำของผู้สูงวัย (Cognitive Training) พร้อมสามารถเรียนรู้พฤติกรรมมนุษย์ และตอบสนองทางอารมณ์ได้ด้วยเทคโนโลยี AI ช่วยลดอาการสมองเสื่อม พร้อมมีระบบเฝ้าระวังให้ลูกหลานสามารถติดตามผู้สูงอายุได้อีกด้วย
- Easy Rice กับ “เครื่องตรวจสอบคุณภาพข้าวอัตโนมัติ” ที่จะนำอุตสาหกรรมข้าวไทยสู่ดิจิทัลผ่านเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและเสถียรภาพในการตรวจสอบคุณภาพข้าว โดยใช้ Big Data และ AI ในการแยกลักษณะจำเพาะของเมล็ดข้าว
- InThai กับ “ซอฟต์แวร์วิเคราะห์ภาษาไทยตามความต้องการขององค์กร” ซึ่งวิเคราะห์และประมวลภาษาโดยใช้เทคโนโลยี AI เพื่อใช้วิเคราะห์ภาษาไทยโดยตรง เป็นประโยชน์ทั้งสำหรับองค์กรต่าง ๆ และนักพัฒนาซอฟต์แวร์ที่มีความเกี่ยวข้องกับการนำข้อมูลจากการวิเคราะห์ภาษาไทยไปใช้
- Kadyai กับ “แพลตฟอร์มต้านการขาดทุนของเกษตรกร” ซึ่งใช้เทคโนโลยีด้าน Internet of Things, Big Data Analytic และ AI เป็นตัวช่วยเกษตรกรในการเก็บข้อมูล วิเคราะห์ และใช้ประโยชน์ได้จริงทั้งด้านการเพาะปลูกและการตลาด และช่วยให้ผู้รับซื้อผลผลิตและผู้บริโภคติดต่อเกษตรกรได้ง่ายขึ้น ในราคาที่ถูกลงแต่คุณภาพดีขึ้น
- Perception กับ “นวัตกรรมฉายภาพเสมือนจริงตอบทุกโจทย์ธุรกิจ” อุปกรณ์แบบใหม่ที่ฉายรูปภาพเสมือนบนจอคอมพิวเตอร์และแว่นตาแบบใหม่มีขนาดเล็กใช้งานสะดวกคล้ายกับการใส่แว่นสายตาทั่วไป สามารถแสดงภาพสามมิติที่ผู้ใช้สามารถมองดูวัตถุเหล่านั้นได้จากหลายด้าน เสมือนมีวัตถุลอยอยู่ตรงหน้าจริง ๆ
- QuTE กับ “นวัตกรรมควอนตัมคอมพิวเตอร์” ที่สุดแห่งความก้าวหน้าของระบบประมวลผลข้อมูล ซึ่งทีม QuTE มุ่งหวังจะพัฒนาความรู้เกี่ยวกับกระบวนการประมวลผลข้อมูลเชิงควอนตัมโดยการศึกษาข้อมูล ทำการทดลองและวิจัย เพื่อสร้างและเผยแพร่องค์ความรู้ในด้านดังกล่าวออกไปในวงกว้างโดยไม่แสวงหากำไร
- TinyEpicBrains กับ “VideoQR: QR Code ในวิดีโอรูปแบบใหม่ที่ไม่ปรากฏบนหน้าจอ” นวัตกรรมการสแกนเพื่อเข้าถึงข้อมูลจากวิดีโอโดยตรงโดยไม่ต้องถูกกำจัดพื้นที่เพื่อใช้แสดง QR code ซึ่งช่วยลดต้นทุนการซื้อสื่อโฆษณา สร้างความแปลกใหม่ให้กับอุตสาหกรรม และเพิ่มความสามารถในการติดตามพฤติกรรมผู้บริโภคโดยตรง
- TrueEye กับ “แอพพลิเคชั่นช่วยวินิจฉัยโรคเบื้องต้นจากภาพถ่ายดวงตา” เพื่อช่วยแพทย์ในการวินิจฉัยโรคเบื้องต้นผ่านการถ่ายภาพดวงตาของผู้ป่วย ก่อนนำข้อมูลไปประมวลผลผ่านการวิเคราะห์จากฐานข้อมูลที่มี โดยใช้เทคโนโลยี AI และ Internet of Things เป็นตัวช่วย ใช้ได้กับบุคคลทั่วไป ผู้ป่วย และผู้ป่วยที่มีอาการเรื้อรัง
- EATLAB กับ “เทคโนโลยีวัดความสุขของผู้บริโภคเพื่อผลักดันอุตสาหกรรมอาหารไทย” โดยเป็นการพัฒนาแพลตฟอร์มที่ใช้เทคโนโลยี Big Data และ AI บนโต๊ะอาหารอัจฉริยะในการบันทึกพฤติกรรมผู้บริโภคระหว่างการรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อวิเคราะห์ความพึงพอใจและคาดการณ์ยอดขายล่วงหน้าพร้อมคำนวณปัจจัยทางการตลาดที่มีผลต่อยอดขาย
- Xplorer กับ “แพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลผู้บริโภคด้วย AI และ AR” เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการจับจ่ายสินค้า ด้วยนวัตกรรม AI ร่วมกับเทคโนโลยี AR เพื่อให้ผู้ขายได้ข้อมูลผู้บริโภคที่ผ่านการวิเคราะห์ในเชิงลึกพร้อมนำทางผู้บริโภคไปยังหน้าร้านที่ขายสินค้านั้น ๆ ส่งผลดีทั้งต่อความรู้สึกพึงพอใจและประสบการณ์ที่ดีขึ้นของลูกค้า
- พอดีคำ.AI กับ “จูนใจ” (TuneJai) ระบบ AI เพื่อดูแลผู้ที่มีภาวะซึมเศร้าครบวงจรรายแรกของไทย โดยสามารถดูแลผู้ที่มีภาวะซึมเศร้าครบวงจรด้วย AI ร่วมกับศาสตร์ด้านจิตวิทยา ผ่านการสนทนาโต้ตอบอัตโนมัติ (Chatbot) เพื่อการคัดกรองและประเมินสภาวะทางจิตใจ ปรับมุมมองความคิดและอารมณ์ ไปจนถึงการพูดคุยเพื่อการบำบัดกับนักจิตวิทยา
โครงการ U.REKA แบ่งได้เป็น 3 ระยะโดยเริ่มจาก ระยะที่ 1 Ideation Bootcamp และ Incubation การสำรวจโอกาสและกรณีศึกษาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก (Disruptive Technology) เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว การค้าปลีก การเงินและการบริการ และอื่นๆ โดยฟูมฟักความเป็นไปได้ของไอเดียหรือโซลูชั่นเพิ่มเติมในมิติของเทคโนโลยีและธุรกิจเพื่อพัฒนาความคิดเบื้องต้นให้สมบูรณ์แบบเป็นเวลา 3 เดือน โดยในระยะนี้ U.REKA ได้คัดเลือกทีมที่สมัครเข้ามา 63 ทีมจนเหลือทีมที่ผ่านเข้ารอบ Incubation จำนวน 11 ทีมที่ได้รับมอบเงินทุนตั้งต้นจำนวน 200,000 บาทไปพัฒนาและต่อยอดไอเดีย
ระยะที่ 2 R&D ระยะเวลาของการวิจัยและพัฒนาสินค้าจริงในระดับเริ่มภายในเวลา 8-36 เดือน เพื่อให้ทีมได้ใช้เวลาศึกษาพัฒนาและทดลองโครงการของตนเอง เพื่อสร้างโมเดลทางธุรกิจและการตลาดที่ชัดเจน สามารถพัฒนาสินค้าหรือบริการที่ใช้ได้จริงในระดับเริ่มต้น รวมทั้งดำเนินการจดสิทธิบัตร โดยได้รับการสนับสนุนด้านที่ปรึกษาและเงินทุนวิจัยเพื่อพัฒนาตามความก้าวหน้า (progressive funding) จำนวน 3-6 ล้านบาท
ระยะที่ 3 Acceleration เป็นการเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมจริงโดยการออกแบบสินค้าเพื่อการผลิตในปริมาณมาก ก่อนส่งออกสู่ตลาด และมีการระบุช่องทางการจัดจำหน่ายกับกลุ่มลูกค้าและคู่ธุรกิจ โดยในระยะนี้ สตาร์ทอัพที่ผ่านเข้ารอบจะได้รับการสนับสนุนและบ่มเพาะในด้านต่างๆ เป็นระยะเวลา 6 เดือน เพื่อให้สามารถขยายธุรกิจอย่างก้าวกระโดด นอกจากนี้แต่ละทีมยังมีสิทธิ์ได้รับข้อเสนอเงินลงทุนสูงสุดถึง 10 ล้านบาทเมื่อสิ้นสุดโครงการ