ก่อนหน้านี้เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา Techsauce ได้รายงานข่าวว่าบอร์ดบริหารของบริษัท 'Flipkart' Startup ผู้ให้บริการเว็บ E-Commerce อันดับ 1 ในอินเดีย อนุมัติให้ Walmart ขายหุ้น 75 เปอร์เซ็นต์ของบริษัทกับ Walmart เจ้าของห้างค้าปลีก (Retail) รายใหญ่ในสหรัฐอเมริกาด้วยเงิน 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ล่าสุด Flipkart และ Walmart ออกแถลงการณ์ร่วมอย่างเป็นทางการว่า Walmart ได้ปิดดีลการซื้อขายอย่างเป็นทางการด้วยการเข้าซื้อหุ้น Flipkart ประมาณ 77 เปอร์เซ็นต์ด้วยกองทุนรวมตราสารทุน (Equity Fund) 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทไปเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งทั้ง Flipkart และ Walmart ก็จะบริหารแยกกันไปตามแนวของแต่ละแบรนด์ตามปกติ
SET ให้นิยามว่า เป็นกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารทุนประเภทต่างๆ ซึ่งได้แก่ หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ ใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหลักทรัพย์ (Warrant) รวมถึงหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอื่นๆ โดยสัดส่วนของการลงทุนต้องเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด อย่างสำนักงาน ก.ล.ต. ของไทยกำหนดไว้ คือ โดยเฉลี่ยแล้วไม่น้อยกว่า 65% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนรวม
ทั้งนี้ เมื่อผู้จัดการกองทุนได้ลงทุนเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดดังกล่าวข้างต้นแล้ว เงินทุนส่วนที่เหลือก็สามารถที่จะนำไปใช้ลงทุนในหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินประเภทอื่นๆ เช่น เงินฝากหรือตราสารหนี้ หรือจะนำเงินทั้งหมดไปลงทุนในตราสารทุนก็ได้
กองทุนรวมประเภทนี้เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้สูง เนื่องจากเป็นการนำเงินไปลงทุนในตราสารทุน ซึ่งมีความผันผวนของราคาหรือมีความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูง แต่ก็ให้ผลตอบแทนในอัตราที่สูงด้วยเช่นเดียวกัน
แถลงการณ์ระบุต่อว่าทีมบริหารงานเดิมของ Flipkart จะยังอยู่บริหารธุรกิจต่อไป โดย Tencent Holdings Limited และ Tiger Global Management LLC จะยังคงนั่งเป็นตัวแทนในบอร์ดบริหาร Flipkart ต่อไปเช่นกัน ร
วมถึงสมาชิกบอร์ดอิสระก็ยังคงอยู่เช่นกัน รวมถึงจะมีกรรมการบอร์ดคนใหม่ๆ จาก Walmart เข้ามาด้วยเช่นกัน แต่การทำงานก็เป็นไปแนวทางของ Flipkart เหมือนเดิม
Photo: Flipkartส่วนผู้ถือหุ้นที่เหลืออยู่เดิมของบริษัทประกอบด้วย Binny Bansal ผู้ก่อตั้ง Flipkart, Tencent, Tiger Global and Microsoft ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม และในงบการเงินของ Flipkart จะถูกรายงานว่าเป็นส่วนหนึ่งของ International Business Segment ของ Walmart อีกด้วย
นอกจากนี้ Flipkart ยังระบุว่าในอนาคตการลงทุนของ Walmart จะเข้ามาส่งเสริมความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในระดับชาติ และจะทำให้เกิดการสร้างรายได้อย่างยั่งยืนในการสร้างอาชีพ, สนับสนุนธุรกิจขนาดย่อม, สนับสนุนชาวนา พัฒนาห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) และลดปริมาณอาหารที่กลายเป็นขยะให้มีน้อยลง
ทางด้าน Arvind Singhal ประธานกรรมการบริหารของ Technopak Advisors บริษัทให้คำปรึกษาด้านการค้าปลีก (Retail) ในอินเดีย เคยให้ความเห็นในเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาว่า “Flipkart ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญของ E-Commerce ในระดับโลกเลยก็ว่าได้ ซึ่ง Walmart ไม่ต้องการอยู่อันดับหลังๆ ในการแข่งขันในตลาดอินเดียอย่างชัดเจน ซึ่งถือเป็นส่วนแบ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง”
Amazon ซึ่งเป็น E-Commerce อันดับ 2 รองจาก Flipkart คงเหนื่อยหน่อยในสนาม E-Commerce อินเดียหลังจากนี้...
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด