เมื่อประเทศไทยมีโอกาสที่จะกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งอาเซียนด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง การเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล และศักยภาพการลงทุนที่ดึงดูดนักลงทุนทั่วโลก ทาง True Digital Park และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) จึงได้งาน Thailand Fast Track: Attracting Global Community, Accelerating Thailand's Growth ได้เปิดเวทีให้ผู้นำจากนานาชาติมาแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับอนาคตทางเศรษฐกิจของไทย
หนึ่งในเซสชันที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษคือ "What's the Global View in Thailand – Shaping International Business in the Heart of ASEAN" โดยมีตัวแทนจาก 3 ประเทศ มาพูดคุยกันถึงโอกาสทางธุรกิจ ความท้าทาย และแนวทางในการพัฒนาเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ได้แก่
การพูดคุยเริ่มต้นขึ้นด้วยการเน้นถึงโอกาสทางธุรกิจที่ไทยมีให้กับนักลงทุนระดับโลก ซึ่งแน่นอนว่าทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่ เศรษฐกิจดิจิทัล อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง และการเงินยุคใหม่
Kajiwara Toru ตัวแทนของญี่ปุ่น มองว่าไทยเป็นฐานอุตสาหกรรมที่สำคัญที่สุดในภูมิภาค มีบริษัทญี่ปุ่นกว่า 6,000 แห่งที่ดำเนินธุรกิจอยู่ที่นี่ และแนวโน้มยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่ทำให้ไทยแตกต่างจากตลาดอื่นคือ แรงงานที่มีศักยภาพและโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมรองรับการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมไฮเทค
ไม่ว่าจะเป็น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV), ระบบอัตโนมัติ (AI-driven Automation) หรือเซมิคอนดักเตอร์ ญี่ปุ่นไม่ได้มาเพียงเพื่อทำธุรกิจ แต่พวกเขาลงทุนใน บุคลากรและการศึกษา ผ่านสถาบันฝึกอบรมที่พัฒนาแรงงานรุ่นใหม่ให้ตอบโจทย์อุตสาหกรรมสมัยใหม่
Zak Lawton ตัวแทนจากสหราชอาณาจักร เน้นไปที่ศักยภาพด้านเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยที่เติบโตถึง 25% ต่อปี และอาจเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้ไทยกลายเป็น Tech Hub ของอาเซียน ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล เช่น อินเทอร์เน็ตที่ครอบคลุมและการเข้าถึงเทคโนโลยีที่สูงกว่าหลายประเทศในภูมิภาค ทำให้ไทยเป็นตลาดที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม AI, Cloud Computing และ Fintech
Eric Lauer ตัวแทนจากลักเซมเบิร์ก ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นศูนย์กลางทางการเงินระดับโลก เห็นว่าไทยสามารถก้าวขึ้นมาเป็น Financial Hub ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ ด้วยศักยภาพของตลาดทุนและ Fintech ที่กำลังเติบโต ไม่ว่าจะเป็น Blockchain, Digital Banking หรือ Cross-border Payments ความสำเร็จของไทยในการออกพันธบัตรที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืน (Sustainability-linked Bonds) ทำให้ประเทศกลายเป็นผู้นำด้าน Sustainable Finance ในภูมิภาค ซึ่งอาจเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดนักลงทุนยุคใหม่
แม้ว่าไทยจะมีศักยภาพในการดึงดูดการลงทุน แต่ก็ยังมีอุปสรรคที่ต้องก้าวข้ามเพื่อให้ประเทศก้าวไปสู่การเป็น ศูนย์กลางธุรกิจระดับโลก
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือ การทำธุรกิจในไทยยังมีความซับซ้อนในด้านกฎระเบียบ แม้ว่าไทยจะมีความพยายามในการปรับปรุงกระบวนการภายใต้ BOI (Board of Investment) แต่หลายบริษัทจากต่างชาติยังพบว่า ขั้นตอนในการจัดตั้งธุรกิจและระบบเอกสารยังค่อนข้างยุ่งยาก การปรับโครงสร้างไปสู่ Digital-first อาจเป็นทางออกที่ช่วยให้ประเทศไทยสามารถเพิ่มความน่าสนใจในการลงทุน
ด้าน Zak Lawton ตัวแทนจากสหราชอาณาจักร เสริมว่าการทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่แท้จริง ต้องมีการปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐานให้ทันสมัยมากขึ้น โดยเฉพาะการลดการใช้เอกสารกระดาษในระบบราชการ
อีกหนึ่งปัญหาที่ถูกกล่าวถึงคือ ความต้องการแรงงานทักษะสูง แม้ว่าไทยจะมีแรงงานที่มีศักยภาพ แต่ในยุคที่ AI และ Big Data เป็นหัวใจหลักของอุตสาหกรรม การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้ทันกับความต้องการของตลาดเป็นสิ่งจำเป็น หลายประเทศเลือกแก้ไขปัญหานี้ผ่านการลงทุนด้าน STEM Education และ Reskilling Programs เพื่อสร้างบุคลากรที่สามารถรองรับอุตสาหกรรมอนาคต
นอกจากนี้ การพัฒนาไปสู่ Smart Cities และ Sustainability เป็นอีกหนึ่งโจทย์ที่ไทยต้องเร่งดำเนินการ โดยเฉพาะปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เช่น มลพิษทางอากาศและการจัดการขยะ ซึ่งอาจกลายเป็นอุปสรรคในการดึงดูดนักลงทุนระยะยาว การลงทุนในพลังงานสะอาด (Green Energy) และเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) จะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ไทยสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน
หลังจากฟังมุมมองจากตัวแทนสามประเทศ สิ่งที่ชัดเจนคือ ประเทศไทยมีศักยภาพมหาศาลในการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจระดับโลก ทั้งในด้านอุตสาหกรรมไฮเทค เศรษฐกิจดิจิทัล และภาคการเงินสมัยใหม่ สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือ เร่งสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อธุรกิจและนวัตกรรม
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด