ในปัจจุบันประชาชนไทยแทบจะทุกคนมีโทรศัพท์มือถือเป็นเครื่องมือสื่อสารประจำกาย การเพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งานบางอย่างด้วยวิธีการติดตั้งแอปพลิเคชั่นเพิ่มขึ้นจึงเป็นง่ายที่สุดที่จะทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงเครื่องมือช่วยเหลือทางการแพทย์จำนวนไม่น้อยได้ ซึ่งไม่เพียงแค่แอปพลิเคชันเท่านั้นที่สร้างความเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ต่อพ่วงต่างๆ (IoT (Internet of Thing) หรือ อุปกรณ์ติดตามตัว (wearable) และเครือข่ายการสื่อสารต่างๆ เข้าด้วยกัน วงการแพทย์ได้เรียกเทคโนโลยีนี้ว่า “Digital Health” ซึ่งเป็นการสร้างการเชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพเข้ามาระหว่างกัน นำมาแสดงผลและประมวลเพื่อให้เกิดประโยชน์ด้านสุขภาพสูงสุด
ดังรูปแบบของภาพด้านล่างซึ่งเป็นบริการที่เป็นส่วนประกอบของ Digital Health
จากข้อมูลโดย IQVIA ในปี 2017 พบว่า ในปัจจุบันมีแอปพลิเคชันด้านสุขภาพกว่า 318,000 แอปพลิเคชั่น กว่าร้อยละ 56 เป็นภาษาอังกฤษแต่เพียงอย่างเดียว (ซึ่งค่อนข้างจะลำบากในการนำมาใช้กับประเทศที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษเป็นหลัก เช่นประเทศไทย) ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายังคงมีช่องว่างอีกไม่น้อยสำหรับผู้พัฒนาแอปพลิเคชั่นในประเทศไทย
อย่างไรก็ดี ในบรรดาแอปพลิเคชันด้านสุขภาพดังกล่าว มีเพียงร้อยละ 15 เท่านั้น ที่มียอด download มากกว่า 5,000 ครั้ง ซึ่งมีเพียง 41 แอปฯ เท่านั้นที่มียอด download เกิน 10 ล้านครั้ง ซึ่งทำให้เห็นว่า การสร้างแอปแล้วยืนอยู่ได้ในระดับโลกนั้นไม่ง่ายเลย โดยแอปพลิเคชันส่วนใหญ่นั้นจะอยู่ในหมวดหมู่ “Wellness Management” หรือ การจัดการดูแลสุขภาพ เช่น ใช้เพื่อการออกกำลังกาย การจัดการอาหาร การจัดการความเครียด ในขณะที่หมวดหมู่ “Health Condition Managment” หรือ แอปพลิเคชันที่ช่วยจัดการโรคเช่น แอปฯ สำหรับโรคเฉพาะ เช่น ปัญหาจิตใจ เบาหวาน ปัญหาโรคหลอดเลือดหัวใจ ระบบประสาท ระบบกล้ามเนื้อ มะเร็ง เตือนการทานยา ฯลฯ ก็มีอัตราการเติมโตที่สูงมากในช่วงสองสามปีนี้
ภาพด้านล่าง แสดงให้เห็นถึงสัดส่วนของแอปฯ จัดการโรค โดยจะพบว่าส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มการจัดการปัญหาทางใจและพฤติกรรมต่างๆ แอปพลิเคชันช่วยจัดการโรคเบาหวาน
โรคหัวใจและหลอดเลือด ระบบประสาท ระบบกล้ามเนื้อ มะเร็ง ระบบทางเดินหายใจ (เช่น โรคหอบหืด) เป็นต้น
ทั้งนี้การนำอุปกรณ์สวมใส่ (Wearable/ Sensor) มาใช้ร่วมกันกับแอปพลิเคชั่นในมือถือ ก็ทำให้เพิ่มช่องทางการเก็บข้อมูลสุขภาพและสัญญาณชีพต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น การเก็บการเคลื่อนไหว ทำให้สามารถเก็บ จำนวนก้าว, ระยะเวลาออกกำลังกาย, เวลานอนได้ การเพิ่มเซนเซอร์พิเศษบางชนิดทำให้สามารถเก็บอัตราการเต้นของหัวใจ, ความดัน, ความเข้มข้นออกซิเจน (SpO2), ปริมาณไขมันในร่างกาย, อุณหภูมิผิวหนัง (SKT), ระดับความเครียด (EDA) ได้ การใช้กล้องของมือถือ หรือ เพิ่มกล้อง ทำให้สามารถตรวจจับการกินยาของคนไข้ เพื่อยืนยันถึงการกินยา (Adherent) ของคนไข้ได้ การใช้กล้องคู่กับแฟลชทำให้สามารถตรวจจับชีพจร, จังหวะการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติได้ (atrial fibrillation) การเพิ่ม Gyroscope เข้าไปในอุปกรณ์ ทำให้สามารถตรวจการล้มของผู้สวมใส่ได้ (ยกตัวอย่างเช่นที่ apple watch นำมาใส่และสามารถตั้งเตือนการตอบสนองได้และเรียกรถพยาบาลจากโรงพยาบาลที่ตั้งค่าไว้ก่อนแล้วได้) นอกจากนั้นยังสามารถใช้คู่กับอุปกรณ์เชื่อมต่อเพิ่มเติมที่ได้รับอนุมัติจาก FDA ในกลุ่ม Digital Sensors ต่างๆ ซึ่งใช้เปลี่ยนเครื่องมือทางการแพทย์ธรรมดาให้กลายเป็น smart device เช่น เครื่องพ่นยาหอบหืด (Inhalers) , ปากกาฉีดอินซูลิน ซึ่งนำไปสู่การพัฒนา Digital Biomarkers ที่ใช้ติดตามผลลัพธ์ในการรักษาได้
ผู้อ่านสามารถติดตามบทความก่อนหน้าได้โดย คลิกที่นี่
ภาพ Cover โดย TheeLeader.com
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด