ปฏิเสธไม่ได้ว่าวิธีการทำงานในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ในปัจจุบัน เราได้เห็นการเข้ามาของ Digital Transformation และท่ามกลางกระแสการทำ Digital Transformation ในกลุ่มธุรกิจองค์กรทั่วโลก กลยุทธ์ด้าน Cloud, Data หรือแม้กระทั่ง AI ล้วนกลายเป็นประเด็นหลักที่ขาดไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอุตสาหกรรมใดก็ตาม
แต่การทำ Digital Transformation ก็มักจะสร้างข้อมูลมหาศาลที่ต้องการการจัดเก็บเช่นกัน ดังนั้นบรรดาธุรกิจทั้งหลายจึงได้มองเห็นการใช้ Cloud Technology ที่นอกจากจะเป็นที่นิยมในภาคธุรกิจแล้ว ยังเป็นรากฐานของการทำงานในยุคใหม่เพื่อให้คนสามารถทำงานแบบ Hybrid Workplace ได้สะดวกยิ่งขึ้นอีกด้วย
Digital Transformation (DX) ถูกนำมาใช้ในองค์กรต่างๆอย่างแพร่หลาย ตัวอย่างเช่น Netflix ที่มีการวางแผนจะนำเทคโนโลยีมาปรับใช้กับองค์กร ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างกว้างขวาง รวมทั้งมีการนำบริการ Core Business ของตัวเองมาใช้บน Cloud Provider ที่มีให้ครบทุกอย่าง และจัดการกับ Infrastructure ด้วยระบบ “Cloud” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ Netflix เป็นตัวอย่างที่ดีขององค์กรที่สามารถทำงานและจัดการข้อมูลต่างๆได้บน Cloud
สิ่งที่สำคัญที่ควรรู้ขององค์กรที่อยากจะ Transform ตัวเองไปสู่ Digital คือต้องเริ่มจากการวาง Business Goal ขององค์กรที่เกี่ยวข้องกับงานว่าจะทำให้เกิด Customer Experience ในเรื่องใด เพื่อที่จะวาง Roadmap ได้ โดยจะต้องคำนึงถึงการนำ Cloud เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรด้วย
และรวมไปถึงการนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้ให้เหมาะสม ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยทีมงาน IT จะต้องให้ความสนใจกับเรื่องของ Digital Enterprise และเรื่องของแอปพลิเคชันมากขึ้นกว่าที่เป็นมา
ทั้งนี้ การทำเรื่อง Digital Transformation ขององค์กรต่างๆ ทั่วโลก มักจะเจอปัญหาและอุปสรรคที่คล้ายกัน โดยจะมี 3 ประเด็น ได้แก่
มนุษย์ การเปลี่ยนแปลงองค์กรไปสู่ดิจิทัลมักจะต้องสู้กับแรงต่อต้านของผู้คนในการเปลี่ยนแปลงเพื่อนำ Digital มาใช้
กระบวนการ องค์กรจะต้องเอาชนะปัญหาคอขวดที่จะเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงการทำงานจากเดิมที่เป็น Manual ให้เป็น Digital และ Automate
เทคโนโลยี ซึ่งมีความซับซ้อนมากในปัจจุบัน หลาย ๆ องค์กรจึงต้อง Integrate system ต่าง ๆ ที่ท้าทายและมีความซับซ้อน
ด้วยความตั้งใจที่จะช่วยพัฒนาองค์กรไปสู่บริการใหม่ ๆ ที่มี Cloud Technology เป็นเบื้องหลังการทำงานนั้น NTT Thailand จึงได้มุ่งเน้นในการผลักดันให้ Digital Transformation เป็นหัวใจหลักขององค์กร ด้วยประโยชน์ด้านต่าง ๆ รวมถึงบริบทของสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้นมานั้น ทำให้องค์กรทุกภาคส่วนตระหนักได้ว่า การทำงานรูปแบบรีโมท หรือการทำงานแบบ Work from Home นั้นจะเป็นไปได้ยาก หากองค์กรไม่นำ Cloud และ Digital มาใช้ควบคู่กันไป
คุณศานิต เกษมสันต์ ณ อยุธยา Head, Service Center of Excellence, NTT (Thailand) กล่าวว่า “เมื่ออุปสรรคส่วนใหญ่คือ ‘คน’ การที่จะ Upskill หรือ Reskill ถือเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ ดังนั้นองค์กรจะต้องมีการจัดเตรียม รวมทั้งปรับพื้นฐานเพื่อให้ ‘คน’ ในองค์กรเข้าใจมากขึ้น
โดย NTT จะมีบทบาทเข้ามาช่วยทำให้การ Digital Transformation ในองค์กรเป็นภาพที่ใหญ่ ด้วยการเลือกใช้เทคโนโลยี การบริหารจัดการเทคโนโลยี และการให้คำแนะนำ วิเคราะห์ จัดลำดับความสำคัญ รวมถึงขั้นตอนในการ Transform เพื่อตอบโจทย์ด้านธุรกิจ”
และด้วยประสบการณ์ของ NTT ในอุตสาหกรรมที่มีมากกว่า 60 กว่าปี ไม่ว่าจะเป็นในภาคการเงิน หรือแม้กระทั่งภาคการผลิต ที่มีการให้คำปรึกษาด้าน Digital Transformation แก่องค์กรชั้นนำ จึงทำให้ NTT กลายเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีและนำเสนอโซลูชันเทคโนโลยีอัจฉริยะที่จะเข้ามาช่วยให้ผู้ประกอบการทำงานได้ดียิ่งขึ้น
กรอบงานที่ NTT ได้เข้าไปช่วยภาคธุรกิจ อย่างเช่น การทำ Modernization ที่จะ Offload งานด้าน IT หรือ ปริมาณงานในองค์กร ช่วยผู้ใช้ในการ Migrate ตัว Workload ไปอยู่ที่ Data Center มากขึ้น เพื่อให้การจัดการด้านต้นทุน และการ Adopt ใช้ Cloud เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการให้คำแนะนำในการวางโครงสร้างและการใช้ Data ในองค์กรที่มีอยู่มหาศาล ไปทำ Big Data Analytics ไปจนถึงการนำ AI Operation มาช่วยวิเคราะห์ข้อมูล ทำให้ Data ในองค์กร สามารถนำไปใช้ช่วยในการตัดสินใจในการทำงานได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น รวมถึงการที่จะเชื่อมต่อแอปพลิเคชันกับฟังก์ชั่นต่าง ๆ ไปยัง Cloud (Connectivity)
และส่วนสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องความมั่นคงปลอดภัย หรือ Security ที่จะมีการวางพื้นฐาน ด้าน Security ไม่ว่าจะเป็น Network Security และในส่วนของ Cloud Security ที่จะช่วยในการวาง Transformation Roadmap ให้ลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ
อย่างไรก็ตาม นอกจากการทำงานของ NTT เองแล้ว ยังมี Partner ที่จะเข้ามาช่วยในด้านต่าง ๆ ด้วย โดยจะเป็น Tech Partner และ Tech Vendor หลายราย ไม่ว่าจะเป็นด้าน Network, Cloud, Security รวมไปถึงแอปพลิเคชันต่าง ๆ และยังมีทีมงาน NTT ที่เป็นผู้ให้คำปรึกษา (Consult) ที่จะช่วยเลือกสรรและ Integrate เทคโนโลยีให้เข้ากับรูปแบบขององค์กรและธุรกิจของลูกค้าด้วยเช่นกัน
ขณะเดียวกันในส่วนของ Network หรือ Connectivity เป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่จะขับเคลื่อนให้องค์กรทำเรื่อง Transformation ได้สำเร็จและมีประสิทธิภาพ โดยการออกแบบ Network ระหว่างสำนักงานใหญ่กับสาขา รวมไปถึงการเข้าถึง Data Center และ Cloud Infrastructure ซึ่ง Workload ส่วนใหญ่ในองค์กรลูกค้าที่เป็น On-Premise ขึ้นไปอยู่บน Data Center มากขึ้น และที่ใช้ Software as a Service (SaaS) อยู่บน Cloud
ฉะนั้นการวางโครงสร้าง Network เพื่อให้เข้าถึงกันระหว่างสำนักงานใหญ่ สาขา Data Center และ Cloud Infrastructure จึงเป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับการทำTransformation โดยจากเดิมที่ต้องผ่านสำนักงานใหญ่หรือ Data Center เสมอเพื่อให้เป็นจุดเดียวที่สามารถกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลได้
จำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้ในการเข้าถึงแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องกับงานเท่านั้น ที่จะช่วยทำให้ทีม IT ลดภาระงานลงไปได้
การทำ Traffic Optimization คือ การที่จะเลือกว่าจะให้ Traffic ผ่าน Network ที่เหมาะสมอย่างไรเช่น หากมี Workload ที่จำเป็นจะต้องมีความปลอดภัยสูง ก็สามารถให้ Traffic ออกไปในวงจรที่เป็น MPLS ที่มีความปลอดภัย และ Traffic อื่นที่ไม่มีความจำเป็นต้องมีความปลอดภัยสูงเท่า ก็สามารถ Breakout ออกจาก Internet ได้ ทำให้สามารถทำงานได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพและปลอดภัยในเวลาเดียวกัน
Dynamic Multipath Optimization จะช่วยตรวจตราช่องทางในการส่งข้อมูล และหากพบส่วนไหนมีปัญหา ก็จะสามารถปรับช่องทางการส่งของข้อมูลไปที่จุดที่ไม่มีปัญหาได้ ทำให้ไม่ว่าจะเป็น Internet broadband หรือ MPLS ก็สามารถใช้ Capacity ได้เต็มประสิทธิภาพ
NTT Thailand ซึ่งให้บริการด้าน ICT ในตลาดเมืองไทยมาอย่างยาวนาน ถึง 60กว่าปี และเป็น ICT Partner ให้กับหลาย ๆ องค์กร นั้นจุดแข็งคือ การมีทีมงานที่พร้อมที่จะ Support การเติบโต ด้าน Digital Transformation และ Modernization รวมถึงเป็น Solution Enabler ที่ช่วยให้องค์กรไปถึง Digital Future ได้ โดย NTT มีบริการหลัก ดังนี้
Digital Business การนำเทคโนโลยี Smart Solution ต่างๆมาช่วยในองค์กร
Digital Platform เช่น การให้บริการ Multi Cloud Service, Edge Computing Service, Collaboration Service ที่ช่วยสนับสนุนองค์กรให้เกิด Hybrid IT Environment
Digital Backbone ที่เป็นบริการที่เป็นเอกลักษณ์ของ NTT เพราะการมี Network (เครือข่าย) และ Data Center อยู่ทั่วโลก
ทั้งนี้หากมองไปถึงภาพในอนาคตเราจะเห็นการปรับเปลี่ยนขององค์กรอยู่เสมอ โดยจะหมุนเวียนแปรเปลี่ยนไปตามเทรนด์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และเมื่อทำการสรุปจะสามารถแบ่งออกเป็น 3 กรณี ดังนี้
องค์กรจะพยายามเป็น Business Driven ซึ่ง IT Workloard หรือ IT Infrastructure ที่เคยอยู่ในองค์กรและต้องลงทุนมหาศาล เทรนด์จะเริ่มเปลี่ยนไป องค์กรจะเริ่มมองหาบริการใหม่ ๆ ที่เป็น Subscription หรือ Service มากขึ้นโดยที่ไม่ต้องลงทุนเอง
องค์กรจะต้องมีทีมงานที่จะมีความเชี่ยวชาญมา Support ให้ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นในด้านของ Infrastructure, Network, Data Center รวมถึง Cloud ดังนั้นเทรนด์ที่องค์กรมองและ NTT ก็พร้อมที่จะให้บริการ คือ การที่ NTT เป็น Managed Service Provider อย่างเต็มรูปแบบ ในด้าน ICT
และในอนาคตภาคธุรกิจจะมีการนำ AI มาใช้งานในธุรกิจมากขึ้น รวมถึง Software Defined Infrastructure ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีที่สำคัญที่จะกลายมาเป็นเครื่องมือหลักให้ทางองค์กรสามารถใช้ประโยชน์ และก้าวสู่ Business Transformation ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งหมดนี้คือเบื้องหลังของเทคโนโลยีที่องค์กรควรรู้ก่อนทำ Digital Transformation ขององค์กรให้สามารถทำงานในรูปแบบใหม่ ทั้ง Hybrid Workplace และ Work from Anywhere อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลด้วย Cloud Technology
โดยสามารถรับฟังในรูปแบบของ Podcast ได้ทาง
Spotify : https://spoti.fi/39YMM4z
Apple Podcasts : https://apple.co/3nrM2Z2
Google Podcasts : https://bit.ly/3Acb6e1
Podbean : https://bit.ly/3OPrTHX
Soundcloud : https://bit.ly/3ytAbQo
Youtube : https://youtu.be/CJbQMMp67EI
บทความนี้เป็น Advertorial
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด