Drone เพื่อการเกษตรฝีมือคนไทย ช่วยรอดพ้นกับดักต้นทุนสูง | Techsauce

Drone เพื่อการเกษตรฝีมือคนไทย ช่วยรอดพ้นกับดักต้นทุนสูง

Drone พ่นยาที่ถูกพัฒนาให้เป็นเครื่องจักรกลราคาเข้าถึงง่าย โดยลูกหลานเกษตรกรไทยจากจังหวัดขอนแก่นผู้ไม่หยุดฝันที่จะยกระดับวิชาชีพกลางไร่นาให้ดีขึ้น และสามารถเพาะปลูกด้วยต้นทุนที่ประหยัดกว่าเดิม ท่ามกลางสภาวะราคาพืชผลตกต่ำอย่างต่อเนื่อง พร้อมแผ้วถางปูทางให้สินค้าเกษตรของคนไทยแตกยอดบนโลก Online

อากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน (Drone) เพื่อการเกษตรภายใต้แบรนด์เกษตรเจนวาย (Kaset Gen-Y) ที่ยุทธนา ศรีวงศ์ดี กรรมการผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจำกัด กรีนเซ็นเตอร์เซอร์วิส เรียกในแบบของตัวเขาเองว่า ‘เกษตรอากาศยาน’ นั้นใช้เวลาพัฒนาอยู่ถึง 3 ปีกว่าจะประสบความสำเร็จ และเริ่มนำมาใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2560

ปัจจุบันวางจำหน่ายในรุ่น GCS-9 (ใช้เลข 9 ในชื่อรุ่นเพื่อเป็นการถวายแด่ในหลวงรัชการที่ 9) ที่มีให้เลือกทั้งสีขาวและสีดำ ทำงานด้วยระบบ 8 ใบพัด 4 หัวพ่นพร้อมติดตั้งถังบรรจุของเหลวขนาด 5 ลิตรและสามารถลอยบนอากาศได้ 10 ถึง 15 นาที (ทำงานด้วยความเร็วเฉลี่ย 1 ถึง 2 นาทีต่อไร่) ซึ่งขณะนี้จำหน่ายในราคาเครื่องละ 75,000 บาท แม้ว่าจะตั้งราคาไว้ 85,000 บาทก็ตาม

Drone ให้การเกษตรแบบแม่นยำ

ยุทธนาบอกเล่าถึงที่มาที่ไปของการริเริ่มประดิษฐ์โดรนพ่นยาของค่ายเกษตรเจนวายว่า ก่อนที่ตัวเขาและเพื่อน ๆ อีก 2 คนซึ่งเป็นผู้ร่วมทุนจะรวมตัวกันก่อตั้งกิจการหจก.กรีนเซ็นเตอร์เซอร์วิสนั้น พวกเขาต่างยึดอาชีพกสิกรรมที่สืบทอดมาตั้งแต่รุ่นปู่ยาตายาย โดยต้องเผชิญกับภาวะต้นทุนการเพาะปลูกสูงขณะที่ไม่สามารถกำหนดราคาพืชผลที่จำหน่ายได้เอง จึงนำมาสู่การหาทางออกซึ่งจะลดภาระค่าใช้ให้ต่ำลง โดยเฉพาะในส่วนของแรงงาน

ด้วยการนำนวัตกรรมต่าง ๆ เข้ามาช่วยควบคุมปัจจัยการผลิต หรือที่เรียกว่า “การเกษตรแบบแม่นยำ”ที่เป็นแนวทางส่งเสริมให้บรรดาเกษตรกรใช้ต้นทุนทรัพยากรน้อยที่สุด แต่ได้ผลผลิต ทั้งปริมาณและคุณภาพมากที่สุดนั่นเอง

แรกเริ่ม ยุทธนาไม่ได้มองโดรนเป็นตัวเลือกลำดับต้น ๆ แต่เป้าหมายหลักคืออุปกรณ์ใดก็ได้ที่สามารถยกน้ำขึ้นสู่อากาศ เพื่อทำการฉีดพ่นแทนแรงงานคนที่เดิมต้องรับภาระทั้งแบกอุปกรณ์และฉีดพ่นไปพร้อมกัน รวมถึงอุปกรณ์นั้น ๆ ต้องสามารถทำงานในระยะเวลานานกว่าคนและคลอบคลุมพื้นที่อย่างถั่วถึงในระยะเวลาที่เหมาะสม

ดังนั้นเมื่อปี 2558 ทางทีมงานจึงเริ่มหาข้อมูลและทดลองโดยใช้เฮลิคอปเตอร์ก่อน แต่ด้วยคุณลักษณะที่ขับเคลื่อนด้วยใบพัดเดียว จึงไม่เหมาะสมกับลักษณะงาน เพราะทำให้เกิดลมที่รุนแรงเกินไป จนตัวยาหรือสารที่ฉีดพ่นกระจายไปในอากาศหมด จึงมีเพียงแค่น้ำเปล่าที่ลงมาสัมผัสใบพืช

สุดท้ายจึงเริ่มหันไปทดลองใช้โดรนที่ขับเคลื่อนด้วยหลายใบพัดและมีให้เลือกตั้งแต่แบบ 4 8 หรือ 12 ใบพัด โดยระยะแรกเริ่มจากยกน้ำขนาดความจุหลาย ๆ แบบ ไม่ว่าจะเป็น 5 10 หรือ 12 ลิตร เพื่อคำนวนหาว่าปริมาณเท่าไรจึงจะเป็นระดับที่เหมาะสมกับการใช้งานจริง ซึ่งก็ลองผิดลองถูกไปเรื่อย ๆ จนประสบความสำเร็จดังเช่น model ปัจจุบัน

นั่นคือเป็นโดรนพ่นยาที่สามารถช่วยลดต้นทุนการเพาะปลูกได้จริง ในส่วนต้นทุนผันแปร (ค่าปุ๋ย/ยา ค่าจ้างฉีดพ่น และอื่น ๆ ) ซึ่งเดิมเคยอยู่ที่เฉลี่ย 700 ถึง 1,200 บาทต่อไร่ ขึ้นกับประเภทของพืช ทั้งนี้ด้วยกระบวนการที่มีเทคโนโลยีใหม่มาช่วยฉีดพ่นสารต่าง ๆ ทางใบส่งผลให้ใช้ปุ๋ยลดลง 50 ถึง 70% รวมถึงเปลี่ยนจาการใช้สารเคมีแบบเดิมเป็นสารชีวพันธ์แทนเพียงแต่ต้องฉีดพ่นถี่ขึ้นด้วยโดรน ก็สามารถลดค่าใช้จ่ายที่ต้องจ้างแรงงงานได้ 30 ถึง 50% เช่นกัน

"การฉีดพ่นด้วยการที่ต้องแบกเครื่องเองเป็นเรื่องยาก ตรงที่จะทำให้ละอองกระจายลงใบพืชได้อย่างทั่วถึง ต่างจากการบังคับโดรนให้ฉีดพ่นกดลงมาด้วยแรงลมที่เหมาะสมและไปในทิศทางที่ถูกต้อง ซึ่งจะช่วยให้พืชผลิตดอกผลได้ดีกว่า เพราะหากมีการฉีดพ่นผิดวิธีจะทำให้ใบพืชบอบช้ำ จึงไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้ทันที แต่ต้องรอให้เกิดการซ่อมแซมใบก่อนกว่าจะปรุงอาหารได้ เท่ากับกระบวนการผลิตดอกผลต้องล่าช้าไป"

ยุทธนาเล่าถึงกระบวนการสร้างสรรค์โดรนเพื่อการเกษตรอีกว่า ได้แบ่งทีมงานเป็นสองส่วนคือ ฝั่งวิจัยและพัฒนา กับฝั่งเก็บข้อมูล สำหรับด้านเงินทุนก็รวบรวมกันเองจากรายได้การขายสมุนไพร ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่เพียงพอเท่าไรนัก ทำให้กว่าจะพัฒนาสำเร็จจึงต้องใช้เวลาถึง 3 ปี แต่ก็ไม่เคยย่อท้อหรือคิดจะล้มเลิกกลางทาง เพราะมีความมุ่งมั่นที่จะทำให้วิชาชีพเกษตรกรรมดีขึ้น

"เราฝันว่าอยากทำให้ดีที่สุด แม้เกษตรกรทั่วประเทศอาจจะไม่ได้ใช้โดรนของเราทั้ง 100% แต่อย่างน้อยก็หวังให้คนที่ได้ใช้และเดินไปกับเรามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น"

อย่างไรก็ตาม แม้ทีมงานไม่ได้คาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จอย่างร้อนแรง ในช่วงแรกที่วางจำหน่ายโดรนพ่นยาจึงตั้งเป้าเพียง 50 ลำ แต่ในปี 2561 ทำยอดขายไปถึง 100 ลำ ซึ่งขณะนี้ยังทยอยส่งมอบไปยังเกษตรกรทั่วประเทศ

ไม่เพียงเท่านั้นโดรนพ่นยายังถูกนำไปใช้กับเกษตรกรรมที่หลากหลายทั้งในส่วนของพื้นที่และประเภทของการเพาะปลูก ที่ครอบคลุมทั้งพืชสวนและพืชไร่ ไม่ว่าจะเป็นนาข้าว แตงโม อ้อย มันสำปะหลัง ผักสวนครัว เป็นต้น อีกทั้งด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ให้ความสำคัญกับการใช้งานง่าย นั่นคือถ้าขับรถหรือใช้งานรถไถเดินตามได้ก็จะสามารถบังคับโดรนพ่นยาได้เช่นกัน ทำให้ปัจจุบันมีเกษตรกรที่อยู่ในช่วงวัย 40 ถึง 65 ปี ที่นำโดรนพ่นยาไปใช้งานแล้ว

อุปสรรคใหญ่ที่เราเจอคือเรื่องเงินทุน ด้วยใจที่หนักแน่นเท่านั้นจึงจะช่วยให้เราก้าวผ่านปัญหาได้

คลายปมเรื่องพลังงาน

แม้จะมีการตอบรับที่ดีเกินคาด แต่โดรนพ่นยาที่กลุ่มเกษตรเจนวายพัฒนาขึ้นก็ยังมีจุดด้อยด้านการใช้พลังงาน นั่นคือด้วยแบตเตอรี่ 1 ก้อนสามารถส่งให้โดรนลอยอยู่บนอากาศอย่างต่อเนื่องเพียง 10 ถึง 15 นาทีเท่านั้น ซึ่งเพื่อให้สอดคล้องกับการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ จึงต้องปรับปรุงให้สามารถใช้งานได้ยาวนานไม่ต่ำกว่า 30 นาที

ทั้งนี้กระบวนการปรับปรุงในเรื่องการใช้พลังงานของโดรนพ่นยาคืบหน้าไปกว่า 50% แล้ว โดยต้องการเปลี่ยนจากการใช้แบตเตอรี่ไปเป็นแหล่งพลังงานประเภทอื่นแทน (ยุทธนายังไม่ยอมเปิดเผยว่าจะเป็นแหล่งพลังานประเภทใด) แต่ต้องทำให้โดรนลอยบนอากาศได้ไม่ต่ำกว่า 30 นาทีและท้ายที่สุดแล้วต้องทำให้ราคาของโดรนพ่นยาถูกลงด้วย

บ้านเรา (ประเทศไทย) มีนวัตกรรมให้เลือกมากมาย แต่ก็ราคาสูงจนจับต้องไม่ได้หรือไม่คุ้มทุนที่จะนำมาใช้

Online franchise ทำตลาด

กลยุทธ์การตลาดที่ยุทธนานิยามว่าเป็นแฟรนไชส์เกษตรออนไลน์ได้ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อให้โดรนพ่นยาของค่ายเกษตรเจนวายประสบความสำเร็จ โดยเขาเล่าว่า การสื่อสารและบอกเล่าถึงประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ได้ดีที่สุดก็คือตัวผู้ใช้เอง พร้อมขยายความว่าด้วยมุมมองการตลาดแบบ 360 องศา นั่นคือหากจะผลักดันผลิตภัณฑ์ให้แจ้งเกิดได้นั้นต้องทำควบคู่กันไปทั้งด้าน offline และ online โดยในฝั่ง offline จะลุยออกตลาดอย่างเต็มที่ส่วนฝั่ง online ก็จะมีบทบาทในการสื่อสารผลิตภัณฑ์ให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น

อีกที้งเชื่อว่าน่าจะมีคนที่ต้องการสร้างอาชีพหรือรายได้จากนวัตกรรมที่เกษตรเจนวายสร้างขึ้นมา จึงวางแนวทางว่าให้สามารถมาเรียนรู้โดยที่แทบไม่ต้องลงทุนเพิ่มมากเลย แต่มีหน้าที่เพียงนำสิ่งที่เรามีอยู่ไปโปรโมทแค่นั้นเอง ซึ่งระบบที่ทีมงาน set ไว้สามารถอ้างอิงในการจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้กับผู้ที่โปรโมทได้อย่างชัดเจน

ดังนั้น จึงเป็นที่มาของระบบ O2 Power System ซึ่งย่อมาจาก Online+Offline Power System คือ ระบบแฟรนไชส์ร้านค้าเกษตรออนไลน์ ในเครือของกรีนเซ็นเตอร์เซอร์วิส (Greencenterservice) ทำงานร่วมกับโมเดลระบบการสร้างธุรกิจ online แบบ Affiliate Program เป็นตัวขับเคลื่อนระบบการตลาดผ่านตัวแทนโฆษณาทั้งสองระบบ เพื่อรับคอมมิชชั่นในการโปรโมทสินค้า และขายแฟรนไชส์นั่นเอง

โดยเกษตรกรหรือผู้สนใจที่มาเป็นพันธมิตรซึ่งสามารถซื้อสินค้าเกษตรใช้เองเพื่อรับส่วนลดหรือหากต้องการสร้างรายได้ออนไลน์ก็ต้องเสียค่าสมัครที่ 1,990 บาท แล้วนำลิงค์สินค้าหรือลิงค์แนะนำแฟรนไชส์จากระบบไปโปรโมทผ่าน Facebook หรือ Blog ส่วนตัวของแต่ละคน ที่มีทั้งในรูปแบบของการขายสินค้าที่เป็นเครื่องพ่นทางอากาศ (โดรน) แพคเก็จบริการพืช (ตั้งแต่ราคา 190 บาท/ไร่ ถึง 750 บาท/ไร่ ซึ่งแปรผันตามจำนวนการใช้งานและน้ำยา) และธาตุอาหารพืช (น้ำยาที่นำมาฉีดพ่น) ก็จะสามารถสร้างรายได้ให้กับพันธมิตรได้ ในรูปแบบของค่าคอมมิชชั่น

ปัจจุบันเครือข่าย online franchise ของเกษตรเจนวายกำลังเติบโตไปในทิศทางที่ดี ซึ่งขณะนี้มีจำนวนสมาชิกกว่า 2,000 ราย และ active ราว 60% เพราะหลักสื่อสารการตลาดสำคัญคือต้องการให้ผู้ที่ใช้โดรนพ่นยาของบริษัทอยู่แล้วบอกต่อไปยังบุคคลอื่น ๆ ในวงกว้างต่อไป

ทั้งนี้ยุทธนาเน้นย้ำว่า ไม่ได้ต้องการให้พันธมิตรมองธุรกิจตรงนี้เป็นวิชาชีพหลักแต่เลือกเป็นงานเสริมมากกว่า เพราะหากสามารถหารายได้ 3,000 ถึง 4,000 บาทต่อเดือนก็ถือว่าดีพอสมควร เพราะคงไม่สามารถพาทุกคนให้ประสบความสำเร็จได้ 100% เพราะสุดท้ายก็ขึ้นกับศักยภาพของแต่ละคนด้วย

การทำตลาดของเราเน้นประสิทธิภาพจาก online ราว 60% อีก 40% ยังต้องพึ่งพางานด้าน offline มาเสริมด้วย

ค้าพืชผลบน e-commerce

ฝันของยุทธนายังเดินหน้าต่อ เพื่อให้ Jigwaw ที่เขาเริ่มไว้กลายเป็นภาพที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นจากที่ตัวเขาตั้งใจไว้แต่แรกว่าไม่ได้ต้องการให้เกษตรเจนวายมีบทบาทเฉพาะพัฒนานวัตกรรมการเกษตรเท่านั้น แต่ต้องสามารถช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้พี่น้องชาวไร่ชาวสวนดีขึ้นด้วย

ตามที่ยุทธนาตั้งใจไว้นั้น เขาไม่ได้ต้องการให้เกษตรเจนวายมีบทบาทเฉพาะพัฒนานวัตกรรมการเกษตรเท่านั้น แต่ต้องสามารถช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้พี่น้องชาวไร่ชาวสวนดีขึ้นด้วย ดังนั้นจึงเริ่มเดินหน้ากิจกรรมในส่วนแก้ปัญหาราคาพืชผลตกต่ำ เพื่อให้สามารถสร้างรายได้สมเหตุสมผลกับสิ่งที่ลงทุนลงแรงไป โดยใช้ระบบ online มาช่วยสนับสนุนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์การเกษตรไปในวงกว้าง โดยรวบรวมร้านค้าของเกษตรกรมาอยู่บนระบบของเกษตรเจนวายที่จำหน่ายสินค้าตามราคาที่อ้างอิงจากตลาดปลายทางไม่ใช่จากพ่อค้าคนกลาง ซึ่งคาดว่าช้าสุดจะเปิดตัวได้ภายในปลายปีนี้ เพราะยังต้องใช้เวลากับการเก็บข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับพืชผลต่าง ๆ อยู่

ดังนั้นจึงเริ่มเดินหน้ากิจกรรมในส่วนแก้ปัญหาราคาพืชผลตกต่ำ เพื่อให้สามารถสร้างรายได้สมเหตุสมผลกับสิ่งที่ลงทุนลงแรงไป โดยใช้ระบบ online มาช่วยสนับสนุนการจำหน่ายผลิตภัณฑ์การเกษตรไปในวงกว้าง โดยรวบรวมร้านค้าของเกษตรกรมาอยู่บนระบบของเกษตรเจนวายที่จำหน่ายสินค้าตามราคาที่อ้างอิงจากตลาดปลายทางไม่ใช่จากพ่อค้าคนกลาง ซึ่งคาดว่าช้าสุดจะเปิดตัวได้ภายในปลายปีนี้ เพราะยังต้องใช้เวลากับการเก็บข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับพืชผลต่าง ๆ อยู่

yuthana-kaset-gen-y

สำหรับมุมมองต่อนวัตกรรมการเกษตรของไทยนั้น ยุทธนาให้ความเห็นว่าเทคโนโลยีการเกษตรของประเทศไทยไม่ได้ล้าหลังกว่าต่างประเทศ แต่เหตุผลที่คนในแวดวงไม่ค่อยรู้จักหรือไม่ค่อยได้มีโอกาสใช้งาน เช่น เครื่องอบข้าว หรือแม้แต่โดรนเอง ก็เพราะอุปสรรคในเรื่องราคาของนวัตกรรมที่แพงเกินกว่าเกษตรกรจะจับต้องได้

นั่นคือรากฐานที่ทำให้ทีมงานเกษตรเจนวายมองว่าหากเกษตรกรไม่ได้ใช้งานเทคโนโลยีเหล่านั้นจริง ๆ ก็ย่อมไม่นับเป็นนวัตกรรม เปรียบเหมือนเป็นงานวิจัยที่วางไว้บนหิ้งเท่านั้น หรือมีเพียงแค่คนหยิบมือเดียวที่อาจจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นจากสิ่งประดิษฐ์ดังกล่าวเท่านั้นไม่ใช่คนส่วนใหญ่

ดังนั้นกลุ่มทีมงานเกษตรเจนวายจึงมุ่งที่จะพัฒนานวัตรกรรมให้คนรากหญ้าได้ใช้งานจริง ๆ ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะด้วยผลิตภัณฑ์ในปัจจุบันหรือโครงการใหม่ ๆ ในอนาคตก็มุ่งหวังให้เกษตรกรกลุ่มใหญ่ได้มีโอกาสใช้งาน

เรายืนยันว่านวัตกรรมใหม่ด้าน hardware ของเกษตรเจนวายจะเปิดตัวภายในฤดูกาลที่จะถึงนี้

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ท่องเที่ยวไทยมีดี แต่ SME ยังไม่พร้อม ?

ธุรกิจท่องเที่ยวจะปรับตัวยังไง เมื่อเจอความท้าทายรุมล้อม ไม่ว่าจะเป็นการปรับใช้เทคโนโลยีในธุรกิจ การรับมือธุรกิจจีนที่เข้ามารุกตลาด และการสร้างบริการท่องเที่ยวให้ตอบโจทย์นักเดินทาง...

Responsive image

อินโดนีเซีย เปิดรับเทคโนโลยีอย่างไร เพื่อสร้างเศรษฐกิจยุคใหม่ ถอดบทเรียนจากงาน Bali International Airshow

อินโดนีเซีย กลายเป็นประเทศเนื้อหอมที่บิ๊กเทคฯ ต่างประเทศแห่เข้าไปลงทุนมากมาย ซึ่งหากนับแค่ช่วงครึ่งแรกของปี 2023 เพียงปีเดียวอินโดนีเซียสามารถสร้างมูลค่าถึง 34,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ...

Responsive image

รู้จัก “Phygital” การตลาดยุคใหม่แห่งอนาคต ผ่านเทคโนโลยี Immersive Experience ของ Translucia

Techsauce จึงอยากพาไปทำความรู้จักกับเทคโนโลยี ‘โลกเสมือน’ ผ่านหนึ่งในผู้เล่นคนสำคัญอย่าง Translucia บริษัทเทคโนโลยีที่พัฒนา Immersive Experience ซึ่งเป็นแนวคิดที่จะเปลี่ยนวิธีการเ...