แค่แข่งขันไม่พอ ต้องไวด้วย! เปิดมุมมอง 4 ผู้ก่อตั้งไฟแรงกับ การปั้นสตาร์ทอัพให้รุ่งในยุค AI จากเวที Forbes Under 30 Summit Asia

ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไม่ใช่แค่คำศัพท์ทางเทคนิค แต่ได้กลายเป็นพลังขับเคลื่อนที่กำลังปรับเปลี่ยนโฉมหน้าของโลกอย่างรวดเร็ว มีผู้ประกอบการรุ่นใหม่กลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้เพียงแค่โต้คลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลง เท่านั้น แต่พวกเขากำลังลงมือ "สร้าง" เครื่องมือเพื่อกำหนดทิศทางของคลื่นลูกนั้นด้วยตัวเอง

บนเวทีเสวนา "The Age of AI" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน Forbes Under 30 Summit Asia ได้รวม 4 ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพ AI ที่มีวิสัยทัศน์แหลมคมมาเปิดอกคุยอย่างตรงไปตรงมาถึงแนวหน้าของการปฏิวัติครั้งนี้ ประกอบด้วย Dan Ash จาก Grw AI, Rachel Hu จาก CambioML, Jin Kim จาก LuqAlpha และ Vaikkunth Mugunthan จาก Dynamo AI พวกเขาไม่เพียงเผยกลยุทธ์ทางธุรกิจที่น่าทึ่ง แต่ยังจุดประกายบทสนทนาสำคัญว่า ยุคแห่ง AI ที่ทัดเทียมมนุษย์ (AGI) นั้น เป็นเพียงความฝันอันไกลโพ้น หรือเป็นความจริงที่เกิดขึ้นแล้วในปัจจุบัน

สร้าง AI เฉพาะทางสำหรับอุตสาหกรรมเดิมพันสูง

AI ที่สร้างผลกระทบได้มากที่สุดมักไม่ใช่เครื่องมือสำหรับงานทั่วไป แต่เป็นเอเจนต์ที่มีความเชี่ยวชาญสูงซึ่งถูกฝึกมาเพื่อแก้ปัญหาที่ซับซ้อนและเฉพาะทางในแต่ละโดเมน ซึ่งบริษัทของแต่ละคนคือตัวอย่างที่ชัดเจนของแนวทางนี้

Grw AI ของ Dan Ash ถูกวางตำแหน่งให้เป็น "สุดยอด AI การขายที่ไม่มีวันลืม" โดยมีภารกิจหลักคือการ "ทำให้มนุษย์เก่งกาจขึ้นอย่างยิ่งด้วย AI" แพลตฟอร์มนี้ทำหน้าที่เสมือนโค้ชส่วนตัว ช่วยร่างใบเสนอราคา และผลักดันดีลการขาย เพื่อให้พนักงานทุกคนสามารถทำผลงานได้เทียบเท่ากับคนที่เป็นท็อปเซลส์ ซึ่งเป็นการยกระดับศักยภาพของทั้งองค์กรในคราวเดียว

Rachel Hu นักวิทยาศาสตร์ข้อมูลที่มีประสบการณ์นับทศวรรษ ได้ร่วมก่อตั้ง CambioML เพื่อสร้าง "AI เอเจนต์สำหรับนักวิทยาศาสตร์ข้อมูล" ซึ่งเป็นเครื่องมือที่เธอเคยใฝ่ฝันอยากมี มันทำหน้าที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในการสกัดและวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อนจากแหล่งต่างๆ เช่น เว็บไซต์หรือ PDF ได้อย่างรวดเร็ว "งานที่มนุษย์ต้องใช้เวลาหลายวัน AI ของเราใช้เวลาแค่ 10 นาที ด้วยความแม่นยำที่เท่ากันหรือดีกว่า" Hu กล่าว และเป้าหมายต่อไปคือการทำให้มันวิเคราะห์ข้อมูลได้ครบวงจร

ในโลกการเงินที่มีเดิมพันสูง LuqAlpha ของ Jin Kim กำลังพยายาม "ถอดรหัสและขยายผลสัญชาตญาณ" ของนักลงทุนระดับเซียน โดยให้ AI ประมวลผลข้อมูลมหาศาลจากบริษัทกว่า 60,000 แห่ง เพื่อจำลองกระบวนการวิเคราะห์ของผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ชั้นนำ "เรากำลังพยายามแฮ็กสมองของพวกเขา" Kim อธิบาย เพื่อสร้างโมเดลการลงทุนที่มีประสิทธิภาพและขยายผลได้

ขณะที่ AI กำลังทรงพลังขึ้น Dynamo AI ของ Vaikkunth Mugunthan ที่ถือกำเนิดจากงานวิจัยระดับปริญญาเอกที่ MIT ก็เข้ามาทำหน้าที่เป็น "Safety Net สำหรับ AI" ให้กับองค์กรยักษ์ใหญ่ระดับ Fortune 500 และภาครัฐ รวมถึง PayPal และ Expedia เพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหล ตรวจจับความผิดพลาด (Hallucination) และสร้างความมั่นใจว่าการใช้งาน AI จะเป็นไปอย่างปลอดภัยและสอดคล้องกับนโยบาย

กลยุทธ์ฝ่าสมรภูมิเดือด เมื่อ ‘ปลาเร็ว’ ชนะ ‘ปลาใหญ่’

เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามเรื่องการแข่งขันจากทั้งยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพอื่นๆ บรรดาผู้ก่อตั้งต่างแสดงความมั่นใจเป็นเสียงเดียวกัน โดยอ้างว่าความเชี่ยวชาญเฉพาะทางและความคล่องตัวคือข้อได้เปรียบหลักของพวกเขา

Mugunthan ตั้งข้อสังเกตว่า ในขณะที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง AWS และ Microsoft เสนอ "การป้องกันขั้นพื้นฐาน" แต่ก็ไม่สามารถเทียบได้กับแนวทางที่ปรับแต่งมาโดยเฉพาะที่ Dynamo AI มอบให้ "ถ้าคุณดูธนาคารในประเทศไทยและธนาคารในสหรัฐอเมริกา พวกเขาก็มีนโยบายเฉพาะของตัวเอง" เขาอธิบาย "นั่นคือจุดที่เราเข้ามามีบทบาท"

การมุ่งเน้นไปที่การปรับแต่งเฉพาะบุคคลนี้ยังเป็นหัวใจของกลยุทธ์ของ LuqAlpha ด้วย Kim ให้เหตุผลว่าพื้นที่ของ AI สำหรับการเงินนั้นมีการแข่งขันน้อยกว่าที่เห็น เพราะบริษัทฝั่งผู้ซื้อ (buy-side) ทุกแห่ง "มีความต้องการที่แตกต่างกัน เพราะพอร์ตการลงทุนของพวกเขาแตกต่างกัน กลยุทธ์การลงทุนก็แตกต่างกัน"

Rachel Hu เสนอมุมมองเชิงปรัชญาต่อการแข่งขัน โดยอ้างคำพูดของพาร์ทเนอร์จาก Y Combinator ว่า "อย่าไปสนใจคู่แข่ง เราแค่สร้างโซลูชันที่ลูกค้าของคุณต้องการ แล้วคุณจะไปถึงเป้าหมายเอง" เธอยังเสริมด้วยมนต์คาถาอันทรงพลังสำหรับวงการสตาร์ทอัพว่า "ปลาเร็วคือผู้ชนะ ไม่ใช่ปลาที่ใหญ่ที่สุด" Dan Ash เห็นด้วย โดยมองว่าตลาดที่มีการแข่งขันสูงเป็น "สัญญาณว่ามีคุณค่าอีกมากที่ต้องส่งมอบ" ซึ่ง "ความเร็วในการออกสู่ตลาดคือหนทางสู่ชัยชนะ"

เชื้อเพลิงแห่งการปฏิวัติ: สงครามแย่งชิง ‘คนเก่ง’ และความต้องการเงินทุนที่ไม่สิ้นสุด

เพื่อรักษาความเร็วและโมเมนตัม ทั้งสี่บริษัทต่างกำลังระดมทุนรอบใหม่ แต่ไม่ใช่เพื่อสร้างภาพลักษณ์ แต่เพื่อใช้เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ในการครอบครองทรัพยากรที่สำคัญที่สุด นั่นคือ "บุคลากรหัวกะทิ"

"เราต้องการสมองที่เราจะหามาได้ทั้งหมด" Kim กล่าวอย่างตรงไปตรงมา เขาอธิบายถึงความย้อนแย้งที่ว่า การจะสร้าง AI เพื่อทำงานแทนกระบวนการที่อิงสัญชาตญาณของนักลงทุนได้นั้น จำเป็นต้องจ้าง "นักวิเคราะห์ชั้นยอด" เพื่อมาพัฒนาและผลักดันขีดจำกัดของผลิตภัณฑ์ให้สูงขึ้นไปอีก

Mugunthan ซึ่งระดมทุนไปแล้ว 30 ล้านดอลลาร์ และกำลังวางแผนสำหรับ Series B ยอมรับว่า "คนเก่งนั้นไม่ถูกเลย โดยเฉพาะในซิลิคอนแวลลีย์หรือนิวยอร์ก" เป้าหมายของเขาคือการสร้างทีมที่ดีที่สุดเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ระดับองค์กรและขยายตลาดไปยังญี่ปุ่นและสิงคโปร์ เช่นเดียวกับ Ash และ Hu ที่กำลังระดมทุนเพื่อเร่งการเติบโตผ่านการจ้างทีมวิศวกรและฝ่ายขายเพิ่ม

AGI มาถึงแล้วหรือยัง?

การสนทนามาถึงจุดสุดยอดด้วยประเด็นถกเถียงที่น่าสนใจเกี่ยวกับการมาถึงของปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (Artificial General Intelligence - AGI) ซึ่งเป็น AI ที่สามารถเทียบเคียงหรือเหนือกว่าสติปัญญาของมนุษย์ ในประเด็นนี้ ความเห็นของผู้ร่วมเสวนาได้แยกออกเป็นสองฝั่ง

Dan Ash และ Rachel Hu อยู่ในฝั่งที่เชื่อว่า AGI ได้มาถึงแล้วในทางปฏิบัติ "บางครั้งผมก็คิดว่า AI ฉลาดกว่าผมไปแล้ว" Ash ยอมรับ และมองว่า AI คือ "สมองที่สอง" ที่อยู่เบื้องหลังงานที่ดีที่สุดของเขา ขณะที่ Hu ก็เสริมว่า "ฉันรู้สึกว่า AI ฉลาดกว่าฉันแล้ว" เธอเปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันกับยุคเริ่มต้นของไฟฟ้าที่เคยถูกหวาดกลัว แต่สุดท้ายก็กลายเป็นสิ่งที่ปลอดภัยและพลิกโฉมโลก "เราอยู่ในช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นนั้น"

ในทางกลับกัน Jin Kim มีมุมมองที่ซับซ้อนกว่า เขามองว่า AGI "ใกล้เข้ามาแล้ว" และเป็น "สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้" โดยคาดว่า "AGI เฉพาะทางด้านการเงิน" อาจเกิดขึ้นก่อน และ AGI ที่สมบูรณ์จะต้องสามารถ "ปรับแต่งให้เข้ากับผู้ใช้แต่ละคนได้อย่างถึงที่สุด"

ผู้ที่มองอย่างระมัดระวังที่สุดคือ Vaikkunth Mugunthan เขาเชื่อว่า AGI ที่แท้จริงยังอยู่ห่างออกไป "อย่างน้อยก็อีกสองถึงสามปี" โดยชี้ว่า AI ยังขาดองค์ประกอบสำคัญ 2 อย่างคือ "สามัญสำนึก (Common Sense)" และความสามารถในการทำงานกับ "ข้อมูลนอกการกระจายตัว (Out of distribution data)" หรือสถานการณ์ที่ไม่เคยเจอมาก่อนได้อย่างน่าเชื่อถือ "เมื่อ AI เชี่ยวชาญสองสิ่งนี้ได้เมื่อไหร่ เราจะรู้ได้ทันทีว่า AGI มาถึงแล้ว"

บทสรุปจากเวทีนี้ชี้ชัดว่า ผู้ก่อตั้งทั้งสี่คนไม่ได้เป็นเพียงนักธุรกิจ แต่พวกเขาคือสถาปนิกที่กำลังลงมือก่อสร้างอนาคตของสติปัญญา ผลงานของพวกเขาคือภาพสะท้อนของวิสัยทัศน์ที่จับต้องได้ มุ่งแก้ปัญหาจริงของลูกค้า ขณะเดียวกันก็ต้องเผชิญหน้าและหาคำตอบให้กับคำถามเชิงปรัชญาที่ลึกซึ้ง ซึ่งเกิดจากเทคโนโลยีที่พวกเขาสร้างขึ้นมากับมือ