เมื่อภาพและเสียงที่เห็นอาจไม่ใช่ของจริงอีกต่อไป? มารู้เท่าทันเทคโนโลยี Deepfake ที่พัฒนาจาก Gen AI เทคโนโลยีที่ให้โทษมากกว่าจะมีประโยชน์ หลังถูกใช้สร้างข้อมูลบิดเบือนทั้งทั่วโลก
Deepfake มาจากคำว่า Deep Learning รวมกับคำว่า Fake หมายถึงเทคนิคการปลอมแปลงข้อมูลด้วย AI ผ่านการประมวลผลข้อมูลการเคลื่อนไหวทางกายภาพ ลักษณะใบหน้า หรือแม้กระทั่งเสียง ทำให้สามารถสร้างภาพและเสียงปลอมแบบสมจริงจนแทบแยกไม่ออก
ที่จริงแล้วเทคโนโลยีนี้ไม่ใช่ของที่เพิ่งมาใหม่ Deepfake ถูกใช้ในวงการบันเทิงมาแล้วหลายปี เช่นใน Hollywood เพราะให้ประโยชน์หลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุนการผลิตและลดเวลาการทำงานแต่ปัจจุบันมีการใช้งานในทางพาณิชย์และในบุคคลทั่วไปมากขึ้น ส่งผลให้ Deepfake พบง่ายขึ้นบนโลกโซเชียลมีเดีย
จากการศึกษาของ iProov 71% ของผู้ตอบแบบสอบถามทั่วโลก ไม่ทราบว่า Deepfake คืออะไร และ 43% ยอมรับว่าไม่สามารถตรวจจับได้ เป็นที่มาให้อัตราของผู้ถูกหลอกลวงด้วย Deepfake ค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้นและอยู่ใกล้ตัวมากยิ่งขึ้น
ในประเทศไทย มิจฉาชีพใช้ Deepfake ปลอมเป็นตำรวจ วิดีโอคอลขู่เหยื่อให้โอนเงิน ฟันเงินผู้เสียหายในประเทศไปรวมกว่า 600,000 บาท
ส่วนเคสล่าสุดในต่างประเทศ พนักงานฝ่ายการเงินของบริษัทในฮ่องกงถูกมิจฉาชีพใช้เทคโนโลยี Deepfake ปลอมเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน (CFO) ผ่านการประชุมวิดีโอคอล สูญเงินไป 25.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 900 ล้านบาท
นอกจากการถูกหลอกแล้ว การให้ข้อมูลที่ผิด บิดเบือน หรือสร้างความเสียหายก็ค่อย ๆ มีเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตัดหน้าคนดังบนคลิปอนาจาร บิดเบือนข่าวสารใส่ร้ายคนดัง ผู้มีอิทธิพลและนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามถึงแม้หลายประเทศจะมีการบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงแบนการใช้งาน Deepfake ในหลายแพลตฟอร์มแล้วก็ตาม
เช่นเดียวกับภัยคุกคามอื่น ๆ บนโลกดิจิทัล การสังเกตและรู้ทัน Deepfake จะช่วยให้ป้องกันตัวเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อและป้องกันการเผยแพร่ข้อมูลที่บิดเบือนหรือสร้างความเสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
อ้างอิง: media.mit, telefonica, us.norton, blognone
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด