สรุปทุกประเด็น AI Leap โดย Jason Kwon, CSO แห่ง OpenAI

“คนไทยใช้ ChatGPT เพื่อแปลภาษามากที่สุด” นี่คือคำบอกเล่าของ Jason Kwon, Chief Strategy Officer (CSO) แห่ง OpenAI ผู้ที่มาเยือนประเทศไทยครั้งแรก โดยได้รับคำเชิญจากคุณวู้ดดี้-วุฒิธร มิลินทจินดา ซึ่งร่วมกับ House of Wisdom หรือ H.O.W. ที่ได้มาร่วมถ่ายทอด Session สุด Exclusive สำหรับสมาชิก H.O.W. ร่วมเสวนาอย่างเข้มข้นกับคุณกระทิง-เรืองโรจน์ พูนผล โดย Techsauce ก็ไม่พลาดสรุปทุกประเด็นสำคัญจากปากของผู้อยู่เบื้องหลัง OpenAI

เหตุใด "Optimism" ของประเทศไทยจึงเป็นที่น่าจับตา

คุณวู้ดดี้เปิดประเด็นด้วยคำถามง่ายๆ กับคุณ Jason "มากรุงเทพฯ กี่ครั้งแล้ว?" Jason ตอบด้วยรอยยิ้ม "ครั้งที่ศูนย์ครับ นี่คือครั้งแรก" แต่สิ่งที่เขาค้นพบในเวลาอันสั้นกลับเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งกว่าที่ตาเห็น

"สิ่งที่โดดเด่นและสัมผัสได้จริงๆ ในประเทศไทยคือ 'ความมองโลกในแง่ดี' (Optimism) และนี่คือปัจจัยสำคัญที่ประเมินค่าไม่ได้" Jason กล่าว

เขาได้เล่าย้อนไปถึงช่วงเริ่มต้นของ OpenAI ที่เต็มไปด้วยความท้าทาย "ตอนเราเริ่มบริษัท ผู้คนในวงการวิจัย AI หัวเราะเยาะเรา พวกเขาคิดว่าแนวทางการ Scaling Laws (การเพิ่มขนาดโมเดลและข้อมูล) เป็นเรื่องไร้สาระ แต่สิ่งที่ทำให้ทีมของเราแตกต่างจากนักวิจัยที่อาจจะเก่งกว่าในแล็บอื่น คือ 'ปัจจัยแห่งความเชื่อ' (Belief Factor) เราแค่เชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่านี่คือทิศทางที่ถูกต้อง"

Jason เชื่อมโยงเรื่องนี้เข้ากับศักยภาพของประเทศไทย "ทัศนคติที่นี่แตกต่างจากที่อื่น หากเทียบกับประเทศที่มีโปรไฟล์ทางเศรษฐกิจใกล้เคียงกัน ความแตกต่างอาจตัดสินกันที่ความมองโลกในแง่ดีและความเชื่อมั่นนี่เอง มันคือเชื้อเพลิงที่จะทำให้ประเทศสามารถคว้าโอกาสจากเทคโนโลยีนี้ได้"

คุณกระทิงเสริมว่า นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็น DNA ของคนไทย "คนไทยเป็น Fast Adopter และ Fast Learner มาโดยตลอด"

Jason ยืนยันด้วยข้อมูลเชิงปริมาณว่า แค่ในประเทศไทย การใช้งาน (Raw Usage) ก็เติบโตขึ้นถึง 4 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (4x year over year) ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่บ้าคลั่ง 

สำหรับประเทศไทยเอง มีตัวเลขที่น่าสนใจคือกลุ่มอายุผู้ใช้งาน ChatGPT ที่เยอะที่สุดของประเทศจะอยู่ในช่วง 18 - 24 ปี และใช้เพื่อการแปลภาษาเป็นอันดับหนึ่ง ตามมาด้วย การขอคำแนะนำ และ การดูแลตัวเอง ซึ่งสะท้อนถึงการนำ AI มาประยุกต์ใช้กับชีวิตของตัวเองกันมากขึ้น 

เมื่อ AI คือเครื่องขยายศักยภาพมนุษย์

แก่นของบทสนทนาย้ำชัดว่า AI ไม่ใช่ผู้มาแทนที่ แต่เป็นเครื่องมือ "ปลดปล่อย" (Unleash) ศักยภาพที่ซ่อนเร้นของมนุษย์ในทุกระดับ

ระดับบุคคล: จาก Specialist สู่ Superhuman

คุณกระทิงเล่าเคสที่เกิดขึ้นจริงในองค์กรของเขา "ผมมีทีมงานคนหนึ่งเป็นดีไซเนอร์ แต่ตอนนี้เขากลายเป็น Full-stack PM (Product Manager) ไปแล้ว เขาสามารถใช้ ChatGPT วิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมผู้ใช้ ทำ Data Science ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องรอทีม Data มันคือการมอบพลังให้คนเก่งอยู่แล้ว กลายเป็นยอดมนุษย์ที่มีความสามารถหลากหลาย (Multi-talented) ได้ในคนเดียว"

ระดับวิชาชีพ: คืนคุณค่าที่แท้จริงให้กับงาน

หนึ่งในแนวคิดที่ทรงพลังที่สุดคือการใช้ AI เข้ามาจัดการงานที่ซ้ำซากและงานธุรการ เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญได้กลับไปทำในสิ่งที่มนุษย์ทำได้ดีที่สุด

"เราสามารถใช้ AI Agent ทำงานเอกสารที่น่าเบื่อ เพื่อ Turn back doctors to be a doctor, turn back nurse to be a nurse ให้พวกเขาได้ใช้เวลากับคนไข้และให้การดูแลอย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับทนายความ หรือพนักงานบริการในโรงแรม ให้พวกเขากลับไปสู่แก่นแท้ของวิชาชีพ" คุณกระทิงกล่าว

ความเป็นมนุษย์และ AI: การทำงานร่วมกันที่ไม่ใช่การแทนที่

ประเด็นที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และ AI โดยเฉพาะในด้านการศึกษา Jason ให้ข้อคิดที่ดีว่าแทนที่อาจารย์จะกังวลว่านักเรียนจะใช้ AI ในการทำรายงาน อาจารย์ควรปรับวิธีการประเมินผลใหม่ โดยดูจาก "กระบวนการ" การใช้ AI (Prompting Process) เช่น นักเรียนเขียน Prompt ที่ดีหรือไม่ หรือมีการใช้ Prompt ต่อเนื่องอย่างไร แทนที่จะดูเพียง "ผลลัพธ์" (Output) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนวิธีคิดให้ AI กลายเป็นเครื่องมือในการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ ไม่ใช่การโกง

คุณกระทิงย้ำว่า 

“AI Alone cannot change the world. It’s a human that uses AI to change the world.” (AI เพียงลำพังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ แต่มนุษย์ที่ใช้ AI ต่างหากที่เปลี่ยนแปลงโลก)

AI คือส่วนขยายความเป็นมนุษย์ (Amplification of humanity) ทั้งในแง่ดีและแง่ร้าย และมนุษย์ต้องเลือกใช้มันเพื่อสร้างสิ่งดี ๆ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาของประเทศ เช่น ปัญหา PM 2.5 นอกจากนี้ เขายังกล่าวถึงประเด็นสำคัญในอนาคตที่หลายฝ่ายกำลังจับตามอง คือ "Super Alignment" ซึ่งเป็นกระบวนการที่ต้องทำเพื่อให้ AI ที่ฉลาดล้ำมีเป้าหมายสอดคล้องกับมนุษย์ ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกประเทศทั่วโลกในการแก้ไข

ระดับความคิดสร้างสรรค์: ทลายกำแพงระหว่างจินตนาการและความจริง

Jason เล่าถึงประสบการณ์สุดประทับใจที่เกาหลีใต้ ที่เขาได้พบกับคอมมูนิตี้ศิลปินที่ใช้เครื่องมือของ OpenAI "มีศิลปินหน้าใหม่หลายคนที่มีจิตวิญญาณและความคิดสร้างสรรค์ แต่ถูกจำกัดด้วยทักษะทางเทคนิคในการลงมือทำ AI ได้เข้ามาเป็นสะพานเชื่อมระหว่างจินตนาการและความเป็นจริง ทำให้สิ่งที่เคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้ กลายเป็นผลงานศิลปะที่จับต้องได้"

คุณกระทิงเล่าต่อทันที "ประเทศไทยคือขุมพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ เราชนะรางวัลโฆษณาจากคานส์มานับไม่ถ้วน (Cannes Lions) โฆษณาไทยเป็นที่รู้กันว่าตลกที่สุด ดราม่าที่สุด และซึ้งที่สุด ผมมีไอเดียว่าในอนาคต Creator ไทยอาจใช้ AI สร้างภาพยนตร์สั้นคุณภาพสูงได้ง่ายๆ จนอาจเกิดเป็นแพลตฟอร์มคล้าย Netflix ที่ให้ผู้ใช้ 'คลิกเพื่อสร้างหนังของตัวเอง' แบบ Personalized ได้เลย"

นอกจากนี้ คุณกระทิง พูนผล ยังได้เล่าถึงหนึ่งในนโยบายของ KBTG ว่า

"ภายในปีใหม่ พนักงานครึ่งหนึ่งจะต้องทำงานร่วมกับ AI และอีกครึ่งหนึ่งจะต้องเข้าใจ AI จะไม่มีใครในออฟฟิศที่ไม่ใช้ AI เป็นพื้นฐาน"

การประกาศนี้ไม่ใช่แค่การสนับสนุน แต่คือ "ข้อบังคับ" ที่มีความชัดเจนว่า AI ได้กลายเป็นทักษะพื้นฐานที่จำเป็นต่อการอยู่รอดขององค์กร ผลลัพธ์ของการผลักดันอย่างจริงจังนั้นน่าทึ่งและเป็นรูปธรรมอย่างยิ่ง ในสายงานพัฒนาซอฟต์แวร์ คุณกระทิงยกตัวอย่างถึงผลิตภาพที่ เพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า จากเดิมที่นักพัฒนาเขียนโค้ดได้ 1,000 บรรทัดต่อวัน กลายเป็น 10,000 บรรทัดต่อวัน

แต่สิ่งที่ลึกซึ้งกว่าตัวเลข คือการเปลี่ยนบทบาทของมนุษย์ Jason Kwon ได้ให้หลักการสำคัญว่า "อุปสรรคที่แท้จริงของการนำ AI ไปใช้ ไม่ใช่ตัวเทคโนโลยี แต่คือ ความท้าทายในการออกแบบ Workflow ใหม่ทั้งหมด" ซึ่งหมายถึงการเปลี่ยนบทบาทของคนจากผู้ลงมือทำ (Executor) สู่การเป็นผู้ออกแบบโซลูชัน (Solution Architect) อีกด้วย

ยุคของ "Agentic AI" และความฉลาดที่อยู่รอบตัวเรา

Jason ได้ฉายภาพอนาคตอันใกล้ของ AI ที่กำลังจะมาถึง ซึ่งก็คือยุคของ "Agentic AI" หรือ AI ที่ทำหน้าที่เป็น "ตัวแทน" ของเราอย่างแท้จริง

เขาอธิบายวิวัฒนาการอย่างเห็นภาพ

  • 2 ปีก่อน: คนใช้ AI ช่วยสรุปบทความ (Summarization)
  • ปีที่แล้ว: คนใช้ AI ช่วยเขียนโค้ดซอฟต์แวร์ (Write software really fast)
  • ปัจจุบัน: เริ่มใช้ความสามารถด้านการให้เหตุผล (Reasoning) ช่วยทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อน อย่างที่ OpenAI ร่วมมือกับ Retro Bio เพื่อค้นคว้าด้าน Anti-aging
  • อนาคตอันใกล้: คือการนำความสามารถทั้งหมดนี้มาเชื่อมต่อกับระบบดิจิทัลอื่นๆ เพื่อ "ลงมือทำ" (Take actions) แทนเรา

"มันจะสามารถเข้าใจสิ่งที่คุณต้องการผ่านการพูดคุย คิดวางแผนว่าจะทำสิ่งนั้นได้อย่างไร แล้วเชื่อมต่อกับระบบต่างๆ เพื่อทำสิ่งนั้นให้เกิดขึ้นจริงบนโลกออนไลน์" นี่คือความหมายของ Agentic AI ที่จะเปลี่ยนทุกอย่าง ตั้งแต่การบริหารการเงินส่วนตัว ไปจนถึงการบริหารบริษัท

Jason ยังได้เปรียบเทียบอนาคตของ AI กับวิวัฒนาการของอินเทอร์เน็ตไว้อย่างน่าสนใจ

"30 ปีก่อน อินเทอร์เน็ตต้องต่อผ่านโมเด็มเสียงดังๆ และอยู่แค่บนเดสก์ท็อป ตอนนี้มันอยู่ในทีวี รถยนต์ นาฬิกา และทุกที่รอบตัวเรา อนาคตของ AI ก็เช่นกัน จากวันนี้ที่เราเข้าถึงผ่านไม่กี่แอปฯ ในอนาคต 'ความฉลาด' (Intelligence) นี้จะถูกย่อส่วนและฝังอยู่ในทุกอุปกรณ์รอบตัวเรา (embedded in everything) คุณจะสามารถสนทนากับมันได้อย่างเป็นธรรมชาติ"

Sovereign AI - ไทยต้องสร้าง AI ของตัวเองหรือไม่?

ต่อด้วยคำถามเรื่องความมั่นคงและการพึ่งพา AI จากต่างชาติ Jason ให้มุมมองเชิงปฏิบัติว่า "ไม่มีประเทศไหนในโลกทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง การจะสร้าง AI ขั้นสูงได้ก็ต้องนำเข้าชิป HBM จากเกาหลีใต้, ชิปประมวลผลจาก TSMC ที่ไต้หวัน สิ่งสำคัญคือการมองหาว่าจุดแข็งของประเทศคืออะไร แล้วทุ่มเททรัพยากรไปที่จุดนั้น แทนที่จะพยายามสร้าง Full-stack AI System ทั้งหมดซึ่งอาจไม่เป็นธรรมชาติสำหรับจุดแข็งของประเทศ"

คุณกระทิงได้กล่าวถึงคลื่นลูกใหม่ของสตาร์ทอัพ AI-native ซึ่งว่าด้วยภาคเกษตรของไทยมีการจ้างงานสูงแต่ผลิตภาพต่ำ AI และเครื่องมือราคาถูกจะเข้ามาทลายกำแพงการเข้าถึงเทคโนโลยี ช่วยให้นักพัฒนาไทยสร้างโซลูชันเฉพาะทางเพื่อแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับภาคบริการและสุขภาพ นี่คือโอกาสทองของ สตาร์ทอัพ AI-native ที่จะเกิดขึ้นและเติบโตอย่างมหาศาลในประเทศไทย

คุณกระทิงเสริมว่า "หน่วยที่เล็กที่สุดที่จะขับเคลื่อนเรื่องนี้ได้คือระดับ 'ประเทศ' ไม่ใช่แค่บุคคลหรือบริษัท เพราะมันต้องอาศัยความร่วมมือทั้งเรื่องธรรมาภิบาล (Governance), กฎระเบียบ, และนโยบายการแบ่งปันข้อมูลอย่างปลอดภัย"

ในช่วงท้าย Jason Kwon ได้ตอกย้ำภารกิจหลักของ OpenAI นั่นคือการสร้างหลักประกันว่า ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (Artificial General Intelligence - AGI) จะเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง ซึ่งหมายถึงการทำให้โมเดลของพวกเขาทรงพลัง ปลอดภัย และทุกคนสามารถเข้าถึงได้

การเป็นพันธมิตรกับรัฐบาลและองค์กรต่างๆ ในภูมิภาคอย่างอาเซียน มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจความต้องการที่หลากหลายทั่วโลก และเพื่อให้แน่ใจว่าประโยชน์จาก AI จะถูกกระจายออกไปอย่างเท่าเทียม" เป้าหมายสูงสุดคืออนาคตที่ AI ทำหน้าที่เป็นเครื่องขยายศักยภาพของมนุษย์ ไม่ใช่สิ่งที่มาทดแทน Jason กล่าวทิ้งท้าย 

Session นี้ปิดฉากลงพร้อมกับความชัดเจนว่า คลื่น AI ไม่ใช่แค่กระแส แต่คือคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีใครต้านทานได้ คำถามไม่ใช่ว่า "เราจะถูกแทนที่หรือไม่" แต่อยู่ที่ว่า "เราจะใช้เครื่องมืออันทรงพลังนี้มาขยายศักยภาพของเราได้อย่างไร" The AI Leap คือการตอกย้ำว่า AI ไม่ใช่เพียงเครื่องมือชิ้นใหม่ แต่คือการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐาน (Fundamental Shift) ที่ต้องอาศัยการปรับตัวอย่างมีกลยุทธ์ ตั้งแต่ทักษะของพนักงานแต่ละคน นโยบายขององค์กร ไปจนถึงยุทธศาสตร์ระดับชาติ เพื่อให้แน่ใจว่าการก้าวกระโดดครั้งนี้ จะเป็นการก้าวไปสู่อนาคตที่สดใสและยั่งยืนสำหรับทุกคน

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

dd channel
dd channel
2 m. ago

Good..

RELATED ARTICLE

Responsive image

รวมคลื่น Layoff 2025 บิ๊กเทคปลดคนครั้งใหญ่ 300 กว่าวันที่ผ่านมาเจออะไรบ้าง ?

อัปเดตวิกฤต Layoff ปี 2025 ในวงการเทค Intel ปลดกว่า 23,000 คน ตามด้วย Microsoft และ Amazon วิเคราะห์ภาพรวมการลดคนครั้งใหญ่และแนวโน้มตลาดแรงงานยุค AI...

Responsive image

สรุป 17 ดีลใหญ่ AI ที่เกิดขึ้นในปี 2025

สรุปครบ 17 ดีล AI ยักษ์ใหญ่ปี 2025 พร้อมเจาะลึกปม Circular Deals หรือการหมุนเงินลงทุนเป็นวงกลม สัญญาณเตือนฟองสบู่ที่นักลงทุนต้องระวัง...

Responsive image

ทิศทาง Agoda ในยุค AI-First จาก CEO เตรียมปักธงปั้นกรุงเทพฯ เป็น ‘Silicon Valley แห่งเอเชีย’ พร้อมส่องเทรนด์ท่องเที่ยวปี 2026

เจาะลึกวิสัยทัศน์ Agoda 2025 ปั้นกรุงเทพฯ สู่ Silicon Valley แห่งเอเชีย พร้อมเปิดตัวกลยุทธ์ AI-First และ Autonomous Agent ผู้ช่วยอัจฉริยะที่คิดแทนคุณได้ เผยข้อมูล Insight เที่ยวไทย...