NFT เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ดังที่เห็นได้จากตลาดที่ขยับขยายอย่างต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง ในไตรมาสที่ 2 ปี 2021 มูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ NFT เติบโตขึ้นราว 2.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เติมเต็มระบบนิเวศศิลปะยุคใหม่ มีศิลปินรายใหญ่ต่างหันมาสร้างแหล่งรายได้ใหม่ในตลาดซื้อขาย NFT เช่น Beeple เจ้าของผลงาน “Everydays: The First 5000 Days” ที่ประมูลสูงถึง 69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีแพลตฟอร์มใหม่ผุดขึ้นมาเพื่อให้ผู้สะสมและผู้ขายได้พบปะติดต่อกัน
อย่างไรก็ดี ในอีกด้านหนึ่ง NFT กลับเปิดทางให้ผู้ไม่หวังดีทั้งแฮกเกอร์และนักต้มตุ๋มจำนวนมากใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ด้านความปลอดภัยในตลาดที่ขยายตัวอ่างรวดเร็ว ในการเข้าแฮ็กขโมยข้อมูลทางการเงินของกลุ่มศิลปินและนักสะสมที่ไม่มีความเชี่ยวชาญในการใช้ Cryptocurrency เท่าไรนัก ส่งผลให้ระยะหลังมานี้ เราได้เห็นเหตุการณ์ที่ผลงานศิลปินในโซเชียลมีเดียถูกขโมยไปขายทอดตลาด NFT สมาชิกตลาด NFT ถูกขโมยเหรียญใน Wallet รวมไปถึงข้อมูลส่วนตัวทางการเงินอื่น ๆ อีกด้วย
โดยปกติแล้วการเข้าซื้อผลงาน NFT 1 ชิ้น จะต้องทำธุรกรรมผ่านเครือข่ายบล็อกเชน โดยบล็อกเชน Ethereum จะได้รับความนิยมสูงสุด และเวลาชำระเงินจะต้องใช้เหรียญที่ดำเนินการบนเครือข่าย Ethereum เช่น ERC-20, USDT, USDC เป็นต้น ซึ่งข้อดีของระบบก็คือ ไม่ผ่านตัวกลาง และมีความโปร่งใสมากพอที่จะตรวจสอบเส้นทางธุรกรรมของผู้ซื้อและผู้ขายได้ แต่ขณะเดียวกัน ด้วยการทำงานของระบบมีส่วนให้ผู้ใช้บริการบนเครือข่าย NFT สามารถปกปิดตัวตนได้ และสืบหาตำแหน่งต้นตอไม่ได้ด้วย
“สาเหตุที่แฮกเกอร์เห็นโอกาสในตลาด NFT ก็เพราะว่ามีคนจำนวนมากที่มาแปลงผลงานเป็นสินทรัพย์ NFTและซื้อขาย NFT ไม่ได้มีความรู้เท่าทันเทคโนโลยีเท่าไรนัก” Max Heinemeyer ผู้อำนวยการฝ่ายบริการวิเคราะห์ด้านการโจมตีไซเบอร์เชิงลึกจาก Darktrace บริษัทให้บริการป้องกันภัยจากไซเบอร์จากประเทศอังกฤษกล่าว “ในขณะที่นักสะสมได้มองเห็นความสวยงามผ่านผลงานศิลปะในโลก NFT สิ่งที่แฮกเกอร์เห็นก็คือช่องโหว่ในระบบ NFT ถ้าลองเปรียบเทียบกับพิพิธภัณฑ์เราก็จะเห็นได้ชัดว่า ในที่ดังกล่าวจะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเฝ้าอยู่เสมอ ในทางกลับกัน ระหว่างที่เราซื้อขาย NFT กลับไม่มีเจ้าหน้าที่รักษาควมปลอดภัยเฝ้าอยู่รอบโต๊ะคอมพิวเตอร์”
เหตุการณ์ขโมยผลงานที่สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อวงการ NFT มากที่สุดก็คือ มีผู้ปลอมแปลงเป็น Banksy ศิลปินกราฟฟิตี้ชาวอังกฤษชื่อดัง ขโมยผลงานของเขามาขายในตลาดสินทรัพย์ NFT ที่ชื่อว่า OpenSea ซึ่งก่อนที่ Banksy จะรับรู้ความจริงนั้น ผลงานศิลปะของเขาที๋โดนขโมยก็ถูกประมูลและขายไปแล้วในมูลค่า 900,000 ดอลลาร์สหรัฐ และเงินดังกล่าวก็เข้ากระเป๋าคนร้ายเรียบร้อย
ทางแพลตฟอร์ม OpenSea ปฏิเสธที่จะหารือสถานการณ์กับ Banksy แต่ยังคงย้ำในอีเมลว่าจะดำเนินการมาตรการควบคุมการฉ้อโกงอย่างเข้มงวด โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการใช้เทคโนโลยีระบบตรวจจับภาพที่ซ้ำกัน และระบบระบุตัวตนนักต้มตุ๋นที่พยายามขโมยผลงานศิลปะจากโลกออนไลน์มาขายในตลาด
แม้แต่ Mike Winkelmann ศิลปินที่มีนามแฝงชื่อดังอย่าง Beeple ก็ยังหนีไม่พ้น หลังจากที่ผลงานของเขาที่มีชื่อว่า “Everydays: The First 5000 Days” ถูกขายเรียบร้อยแล้วที่ราคา 69 ล้านดอลลาร์ในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา แต่ปรากฏว่า มีศิลปินในโลกออนไลน์ Monsieur Personne สร้างผลงานที่ใกล้เคียงกับ Beeple และหลอกแพลตฟอร์มซื้อขาย NFT หลายแห่งว่าผลงานดังกล่าวมาจาก Beeple และหลอกให้คนซื้อผลงานได้สำเร็จ ซึ่งภายหลังทาง Monsieur Personne ได้ออกมากล่าวต่อเหตุการณ์นี้ว่าต้องการให้คนในวงการ NFT ที่รักงานศิลปะ ได้เห็นถึงความบกพร่องของระบบความปลอดภัยใน NFT
ผลกระทบจากเหตุการณ์ขโมยผลงานศิลปะ NFT กลับกลายเป็นว่า ศิลปินและนักสะสมน้อยคนนักที่จะขอความช่วยเหลือ หรือพยายามจะดำเนินทางกฎหมายต่อนักต้มตุ๋น เพราะในโลกความเป็นจริง กฎหมายว่าด้วยเรื่องลิขสิทธิ์ทางดิจิทัลอาจมีขอบเขตไม่ชัดเจนในกรณีของการฉ้อโกงเหรียญและผลงานดิจิทัล ซึ่งเมื่อเทียบกับโลกความเป็นจริงอย่างการฉ้อโกงบัตรเครดิตที่มีสถาบันการเงินเป็นตัวกลางและควบคุมจะเห็นได้ว่า เจ้าของบัตรยังสามารถรายงานเหตุการณ์ดังกล่าวไปยังบริษัทและขอคืนเงินได้
เบื้องต้น Max Heinemeyer ก็ได้แนะนำต่อเจ้าของผลงานว่าให้ผู้ใช้งานจดจำ Seed Phrase หรือพาสเวิร์ดในการเข้ากระเป๋า Wallet ที่ใช้ใน NFT ให้แม่น และควรเก็บรักษารหัสดังกล่าวอย่างมิดชิด โดยได้เสนอว่าเก็บรหัสของแพลตฟอร์มในอุปกรณ์ Hardware Wallet ซึ่งรักษาความปลอดภัยของผู้ใช้งานและป้องกันการแฮ็กได้ดีกว่า Software Wallet หรือการบันทึกรหัสผ่านในคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ผู้ใช้งานควรยันยืนตัวตนก่อนเข้าแพลตฟอร์มใน 2 ขั้นตอนเพื่อเพิ่มความปลอดภัย (2 Factor Authentication) กล่าวคือให้แพลตฟอร์มส่งรหัสยืนยันกับผู้ใช้ผ่านอุปกรณ์อื่นเพื่อให้ได้รับอนุญาตใช้งาน
ในฝั่งของเว็บไซต์แสดงผลงานศิลปะออนไลน์ระดับโลกอย่าง DeviantArt ก็เริ่มตอบโต้ต่อเหตุการณ์ขโมยผลงาน NFT หลังจากที่นักต้มตุ๋นหลายรายได้ดาวน์โหลดผลงานศิลปินในเว็บไซต์ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตใน NFT ทางเว็บไซต์ได้เริ่มปรับใช้ซอฟต์แวร์ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) เพื่อเข้าตรวจสอบระบบบล็อกเชนและแพลตฟอร์ม NFT หากพบว่ามีผลงานที่คล้ายคลึงกับสมาชิกในเว็บไซต์ ทางระบบก็จะแจ้งเตือนให้ศิลปินทันที โดยขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการทดสอบ ซึ่งให้ความแม่นยำได้ราว 86%
ในด้านของศิลปินรายใหญ่ก็ยกระดับความปลอดภัยของผลงานเพื่อป้องกันการขโมยผ่านตลาดออนไลน์ โดย Hannes Koch ผู้ร่วมก่อตั้งสตูดิโอผู้ผลิตผลงานศิลปะ Random International กล่าวว่าเขาเองก็พึ่งจ้าง Verisat ผู้ให้บริการออกใบรับรองที่ขับเคลื่อนโดยระบบบล็อกเชน เพื่อที่มาออกใบรับรองลิขสิทธิ์ (Certificate of Authenticity) ให้กับผลงาน NFT ของบริษัท นอกจากนี้ยังแนบใบรับรองลิขสิทธิ์ย้อนหลังให้กับผลงานทั้งหมดของเขาอีกด้วย
อ้างอิง WSJ
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด