ในช่วงที่ผ่านมานี้คำคุ้นหูที่สุดในหลายองค์กรคงหนีไม่พ้นคำว่า Digital Transformation หันไปทางไหนก็พูดกันแต่ว่าเราต้องปรับองค์กร ต้องเตรียมให้พร้อมเพื่อรับกระแสการเปลี่ยนแปลง แต่ก็ยังมีองค์กรแค่บางส่วนเท่านั้นที่สามารถทำได้ จนกระทั่งสถานการณ์ COVID-19 ได้เกิดขึ้น เรียกว่าเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้หลายองค์กรรู้ซึ้งถึงความจำเป็นของการ Transformation เป็นจุดพลิกสำคัญที่ทำให้องค์กรต้องกลับมาวิเคราะห์ ทบทวนตัวเองและเริ่มตั้งเป้าใหม่เพื่อเป็นองค์กรแห่งอนาคต และแน่นอนว่าที่ผ่านมาเส้นทางการทำ Digital Transformation ของแต่ละองค์กรไม่ได้ราบรื่นแบบในตำรา
วันนี้เราเลยขอชวน ดร.ต้า-วิโรจน์ จิรพัฒนกุล Co-Founder & Managing Director, Skooldio และอดีต Data Scientist แห่ง Facebook, HQ, Silicon Valley มาร่วมพูดคุยและตอบคำถามในเรื่องการปรับตัวองค์กรไปสู่ความเป็นดิจิทัล ในฐานะบุคคลที่เรียกได้ว่าสัมผัสชีวิตการทำงานมาทั้งในองค์กรไทยและต่างชาติ รวมถึงยังมีบทบาทเป็นผู้ร่วมจัด Workshop Upskill ด้านดิจิทัลให้กับหลายองค์กรในไทยอีกด้วย
ดร.ต้าเผยว่าความเข้าใจผิดส่วนใหญ่คือเรามักเข้าใจว่าการทำ Digital Transformation เป็นแค่การย้ายธุรกิจจาก Offline ไป Online เช่น จากเคยมีหน้าร้านก็ย้ายไปขายบนแพลตฟอร์มแทน เคยทําเอกสารภายในด้วยกระดาษก็ย้ายไปทําออนไลน์ ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวไปอาจจะต้องเรียกว่าการทํา Digitization ซะมากกว่า เพราะเป็นแค่ส่วนหนึ่งของการก้าวไปสู่การ Transform องค์กร แต่ถ้าให้พูดถึงคําว่า Digital Transformation ที่แท้จริง ดร.ต้ามองว่าเป็นเรื่องของการที่เราสามารถปรับรูปแบบธุรกิจเพื่อหาโอกาส สร้าง Value ใหม่ ๆ ให้กับลูกค้า หาแหล่งรายได้ใหม่ที่อาศัยช่องทางออนไลน์และใช้เทคโนโลยีเป็นตัวช่วยขับเคลื่อน หลายครั้งที่ธุรกิจมักมองว่าสินค้าของเราเป็นอะไรที่จับต้องได้ แค่ซื้อมาขายไปก็ขายได้ดีอยู่แล้ว ทำไมต้องไปเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วย แต่หลายธุรกิจทุกวันนี้ได้โอกาสใหม่ ๆ มาจากการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและดิจิทัล จนเติบโตแบบก้าวกระโดดเลยก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นเรื่องการทำ Digital Transformation จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม
ความท้าทายมีอยู่หลายเรื่อง แต่ผู้บริหารมีส่วนสำคัญมาก ถ้าใครเรียน MBA มาในโลกแบบเดิม ก็จะมีเทคนิคในการทําธุรกิจแบบหนึ่ง แต่พอในโลกทุกวันนี้ เราพูดถึงแพลตฟอร์ม เราพูดถึงการทํา Super App และการที่บริษัทยอมหรือกล้าที่จะจ่ายเงินเพื่อซื้อ User เข้ามาอยู่ในแพลตฟอร์มเยอะ ๆ ก่อน แล้วหวังว่าจะหาเงินในอนาคต นี่คือภาพของโลกธุรกิจใหม่ บางธุรกิจก็ทําแล้วก็ได้ผล บางธุรกิจก็ทําแล้วไม่ค่อยได้ผล แต่การที่ผู้บริหารยังไม่มีความรู้ความเข้าใจตรงนี้ บางทีทำให้เผลอมองว่าทําไปทําไม เราต้องเสียเงิน อาจจะขาดทุน หรือทําแบบนี้แล้วมันดีกว่าการที่เขาทําแบบเดิมอย่างไร เพราะก็เป็นเจ้าตลาดอยู่แล้ว
ต้องบอกว่าความไม่รู้บวกกับความมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองเคยทําสําเร็จมาก่อน อาจจะทําให้ไม่ได้เปิดรับ แนวคิดหรือโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจ นี่เป็นเหตุผลที่หลาย ๆ ครั้งเราเห็น Startup ลุกขึ้นมา Disrupt บริษัทใหญ่ แล้วบริษัทใหญ่ ๆ ก็เหมือนจะรู้ตัวว่ามันทําได้ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าเป็นโอกาสที่น่าสนใจ จึงปล่อยปละละเลยไป สุดท้ายกลายเป็นคนที่เขากล้าคิด กล้าทํา ลงมือก่อน ได้ประโยชน์ตรงนี้ไป
ดร.ต้าได้ยกตัวอย่าง Case study ธุรกิจธนาคารมาพูดถึง เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีมานาน และทำหน้าที่ให้บริการทางด้านการเงินพื้นฐานให้กับลูกค้า ซึ่งแน่นอนว่าทุกวันนี้ธนาคารต่าง ๆ ก็ยังคงมีบทบาท รับ ฝาก ถอน โอน แต่ในขณะเดียวกันก็มี Internet Banking และ Mobile Banking เกิดขึ้นด้วย ซึ่งถือว่าไม่ใช่โมเดลธุรกิจใหม่แต่ก็เพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้งานได้อย่างดี จนส่งผลให้เกิดการใช้งานเพิ่มขึ้นทำให้ธนาคารเพิ่มบริการในส่วนอื่น ๆ และเริ่มหันมาแตะไลฟ์สไตล์ลูกค้า เรียนรู้พฤติกรรมลูกค้าจนขยับไปสู่การให้บริการต่าง ๆ ยิ่งลูกค้าทำธุรกรรมมากขึ้นก็ยิ่งมีข้อมูล ทำให้รู้จักลูกค้าและก็อาจต่อยอดถึงการปล่อยกู้ และการมอบสิทธิพิเศษต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ลูกค้าเฉพาะกลุ่ม เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าธนาคารเริ่มไปสร้าง Value ใหม่ที่ ไม่ใช่แค่ Banking แต่เป็นในมุมส่งเสริมชีวิตลูกค้า
อีกตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ SCB กับการปั้นแอปฯ Robinhood ถึงจะดูไม่เกี่ยวข้องกับธนาคาร แต่ธนาคารเองก็ได้ข้อมูลสำคัญไป อย่างข้อมูลร้านแผงลอย รายได้ จากไม่เคยมีสลิปเงินเดือน ธนาคารสามารถรู้ได้แล้วว่าวันหนึ่งยอดขายเขาเท่าไหร่ และเกิดเป็น Ecosystem ขนาดใหญ่ของธนาคารที่ไม่ได้โฟกัสแค่ให้บริการธุรกรรมทางการเงิน แต่อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางการเงิน เราทําให้ชีวิตของลูกค้าและผู้มีส่วนร่วมทั้งหมดดีขึ้นก็ทําหมดสิ่งที่ผู้นำต้องมี เพื่อพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จในการทำ Digital Transformation
ดร.ต้าเล่าว่า ในฐานะผู้นำเราต้องเป็นคนที่สร้างวิสัยทัศน์ ตั้งเป้าหมาย เป็นคนกำหนดทิศทาง ซึ่งส่วนหนึ่งของการจะพาทีมไปในทางที่ถูกต้อง ก็ต้องเข้าใจเทคโนโลยีในระดับหนึ่ง หลายครั้งผู้นำหลายคนมักคิดว่า เรามีลูกน้องที่เก่งเรื่องนี้แล้ว เดี๋ยวให้เขามาบอกเราก็พอ แต่ผู้นำเองก็จำเป็นจะต้องเข้าใจเรื่องเทคโนโลยีเองด้วย เพราะธุรกิจใหม่มีเรื่องเทคโนโลยีเป็นส่วนประกอบ ดังนั้นการเข้าใจวิธีดำเนินงาน เข้าใจภาพรวมทั้งหมดเพื่อให้ทุกส่วนของบริษัทเชื่อมโยงกันจึงมีความสำคัญ เมื่อมีเป้าหมายชัดเจนแล้ว ความยากถัดไปคือการเปลี่ยนวิธีคิด วิธีทํางานขององค์กร ทุกองค์กรพูดเรื่องนวัตกรรม มีจัดประกวดเพื่อส่งเสริมเรื่องนี้
แต่คำถามคือเวลาน้องเสนออะไรแปลก ๆ มา เรากล้าให้เขาลองเรากล้าให้เขาทําผิด ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดตรงนั้นมากน้อยแค่ไหน ทําอย่างไรให้ผู้นําสามารถปรับ Mindset แทนที่เราจะตั้งคําถามว่า สิ่งนี้มันไม่ Work หรอก สู่คำถามว่าแล้วถ้าจะทำให้ Work ทำอย่างไร แล้วก็หาโอกาส ลองของใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา
วิธีการบริหารจัดการคนรุ่นใหม่คือเราต้องยอมรับมากขึ้น เขาเก่งกว่าเรา เข้าใจเทคโนโลยีและพฤติกรรมคนรุ่นใหม่มากกว่า ทําอย่างไรให้เราเองจะสามารถทํางานร่วมกันและมีวัฒนธรรมองค์กรที่ดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้ทํางานได้อย่างมีความสุข
เมื่อผู้นําตั้งเป้าหมายที่ถูกต้อง สร้างองค์กรที่ดึงดูดคนเก่ง ๆ เข้ามาทํางาน ก็ต้องมีรูปแบบวิธีทํางานที่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรม สร้างแนวคิดที่เน้นให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลางมากขึ้น เพราะถ้าทุกคนในบริษัทตั้งแต่น้องคอลเซ็นเตอร์ยันผู้บริหารสนใจลูกค้ามากขึ้น นั่นแปลว่าเราจะมองเห็นโอกาสใหม่ ๆ ตลอดเวลา นอกจากนี้ถ้าธุรกิจเรามีความเป็นดิจิทัลมากขึ้น เราก็จะมี Data มากขึ้น ทำให้มีโอกาสในการทําความเข้าใจลูกค้าและสามารถส่งมอบคุณค่าที่ตอบโจทย์เขาได้จริง ๆ ตอนนี้หลาย ๆ องค์กรก็จะพูดถึง Data-Driven Culture ทําอย่างไรให้ทุกคนตัดสินใจด้วยข้อมูลมากกว่าการใช้ Gut Feeling หรือประสบการณ์ในอดีตเป็นตัวตัดสินใจ
เรื่องที่ทุกคนเห็นด้วยตรงกันคือการเปิดรับ Feedback เป็นหนึ่งในวิธีที่จะทําให้คนทํางานเก่งขึ้นและองค์กรแข็งแกร่งขึ้น ใครทํางานดี ไม่ดีต้องกล้า Feedback กันตรง ๆ เราต้องกล้ากลับมาเปิดอกคุยกันในการชี้ปัญหา เพื่อให้ทุกคนร่วมกันแก้ปัญหา ในองค์กรไทยเราไม่ค่อยกล้าทําเท่าไหร่ เราไม่ชอบทำให้ใครเสียหน้า เสียความรู้สึก หรือบางทีเรามีไอเดีย แต่เราก็ไม่อยากข้ามหน้าข้ามตาคนอื่น จะบอกว่า Culture นี้จริง ๆ มีข้อดีเรื่องความอ่อนน้อมถ่อมตน ความถ้อยทีถ้อยอาศัย แต่พอบางทีเยอะเกินจนมาเรื่องงาน มันทำให้เราหยวน ๆ กับทุกเรื่อง แทนที่จะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นตลอดเวลา
สําหรับคนที่ทำงานอยู่ก่อน อย่างแรกเราต้องทําให้เขาเห็นก่อนว่าทําไมเขาถึงต้องเปลี่ยนแปลง ทําให้เขาเห็นว่าตอนนี้คู่แข่งไปถึงไหนแล้ว ตอนนี้เมืองนอกมี Disruption ที่เกิดขึ้นเป็นแบบไหน เพราะถ้าไม่เปลี่ยนตอนนี้ อนาคตเราจะถูกบังคับให้เปลี่ยน เพราะฉะนั้นทําให้เขาเห็นความสําคัญก่อน แบบที่ไม่ใช่ไปสร้างความกลัว แล้วส่งเสริมว่าความรู้ความเชี่ยวชาญที่เขามีจะช่วยให้องค์กรก้าวไปสู่ขั้นถัดไปได้อย่างไร สุดท้ายเลยพอเราสร้างความเข้าใจที่ตรงกันแล้ว ทีมพร้อมแล้ว ก็อย่าลืมเครื่องมือ การให้ความรู้ เพื่อช่วยพนักงานระหว่างทาง พาเขาไปสู่ความสําเร็จ
สำหรับคนรุ่นใหม่เรื่องของการให้อิสระคือส่วนสำคัญ เขามีไอเดียและอยากเห็นมันเกิดขึ้นได้จริง คําถามคือเราให้พื้นที่เขาแค่ไหน ถ้าเขาเสนอมาทุกครั้งแล้วเราก็ปัดไอเดียตกทุกครั้งไม่นานเขาก็จะไม่อยากบอกเรา ไม่อยากเสนอไอเดียดี ๆ อะไรมาให้เรา คนรุ่นใหม่เขาอยากทําอะไรที่มันท้าทาย รู้สึกว่าการที่เจออะไรที่ยากนั้นสนุก อยากจะทําอะไรที่มันยากขึ้นอีก เพราะฉะนั้นการสร้างบรรยากาศ เอาคนเก่ง ๆ มาช่วยกันคิด ช่วยกันทํางานจะเป็นบรรยากาศการทํางานที่สนุกสําหรับคนรุ่นใหม่
ทุกวันนี้คนรุ่นใหม่อยากจะเป็นส่วนหนึ่งของอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเขาเอง เพราะฉะนั้นหลายองค์กรเราอาจจะต้องเริ่มตอบให้ได้ว่าธุรกิจเราสำคัญอย่างไร ถ้าวันหนึ่งมันหายไปมันมีคนเดือดร้อนไหม ถ้าเราอธิบายได้ชัด ๆ ว่าสิ่งที่เราทําอยู่ช่วยให้ชีวิตคนดีขึ้นได้อย่างไร ผมเชื่อว่าคนรุ่นใหม่เขาก็จะอยากเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในสิ่งที่เราทําอยู่มายาคติเกี่ยวกับการทำ Digital Transformation แบบไหนถึงเรียกว่าพร้อม
อันนี้อาจจะเป็นความเข้าใจผิด หลายองค์กรหาคําตอบนี้ว่าเราพร้อมหรือยังไม่พร้อม ผมว่าสุดท้ายคําตอบ มันไม่ใช่ YES หรือ NO มันมีแต่ว่าองค์กรเราใช้ Data มากกว่านี้ได้ไหม องค์กรเราคล่องตัวหรือสร้าง Innovation ได้มากกว่านี้อีกไหม โลกของบริษัทเทคโนโลยีนอกจากการคิดของใหม่ตลอดเวลาแล้ว เราต้องคอยคุยกันว่าเราทำอะไรให้ดีขึ้นได้อีกบ้าง เพราะฉะนั้นมันก็จะเกิดการพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง หลายคนจะเรียกองค์กรเหล่านี้ว่าเป็น Learning Organization คือเรียนรู้ตลอดทั้งจากลูกค้าและทั้งประสบการณ์ทํางาน ดังนั้นเวลาจะตอบว่าเราพร้อมหรือยัง ปกติผมก็จะถามตัวเองว่าเรารู้สึกว่ามันดีได้มากกว่านี้ไหม มันมีอะไรอีกที่เรายังอยากได้ วันนี้เราทํางานแล้ว มันง่ายหมดละ มีความสุข ไม่เจออุปสรรคอะไรเลย ก็อาจจะพอแล้วก็ได้ แต่ถ้าเรายังเห็นโอกาสอื่น ๆ คิดว่าถ้าเราออกไอเดียใหม่ ๆ ได้มากขึ้น อาจจะมีโอกาสทางธุรกิจอะไรอยู่ ผมว่าอันนี้มันก็จะเป็นจุดที่ทําให้เราคิดว่าอย่างน้อย ๆ ถึงแม้ว่าเราจะดีแล้ว เราก็ดีได้มากขึ้นอีกชวนผู้นำองค์กรเตรียมพร้อมไปกับคอร์ส Digital Leadership Essentials
คอร์สนี้ดร.ต้าบอกว่า เป็นหัวข้อที่มีเรื่องอยากจะสอนเยอะ แต่ก็เข้าใจว่า Pain Point ของผู้บริหารหลายคนคือติดเรื่องเวลา เลยเป็นคอร์สที่ขมวดทุกประเด็นสําคัญเข้ามาให้ครบ จบใน 2 วันเพื่อนำไปปรับใช้ได้ทันที รวบรวมตั้งแต่กลยุทธ์จนถึงศัพท์ใหม่ ๆ ที่คนพูดกันในการทําธุรกิจ มีทั้งโมเดลธุรกิจหรือแพลตฟอร์ม การสร้าง Ecosystem ต่อด้วยเรื่องการหาโอกาส ความเข้าใจลูกค้า จะวางตัวองค์กรอย่างไร เราควรทําตามเสียงลูกค้าบอก หรือทําตามสิ่งที่เราอยากทําเป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีส่วนของประสบการณ์ทํางานของดร.ต้าจาก Facebook ที่จะมาเจาะลึกว่าการนำ Data มาขับเคลื่อนองค์กรต้องทำอย่างไร
และที่สำคัญจะมาคุยในเรื่องของคน การทำงานกับคนรุ่นใหม่ กลุ่มคนที่เป็นมนุษย์เทคโนโลยี หลายคนเรียกคนพวกนี้ว่าเป็นมนุษย์ทองคํา คือเก่งมากแต่ก็เรื่องมาก ทําอย่างไรให้เราสามารถทํางานกับเขาได้ดี แล้วก็ให้คนรุ่นใหม่ได้เข้ามาทํางานและสามารถปลดปล่อยศักยภาพอย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้นภาพรวมคือเราก็จะคุยตั้งแต่วางกลยุทธ์ธุรกิจใหม่ ๆ การนำ Data มาปรับใช้ในองค์กร ไปจนถึงการสร้าง Culture ในที่ทํางาน แล้วก็การบริหารคนเพื่อให้สุดท้ายแล้วองค์กรจะสามารถสร้างนวัตกรรมและประสบความสําเร็จได้
ทั้งหมดนี้คือบทสรุปการสัมภาษณ์ ดร.ต้า ที่อัดแน่นและนำไปใช้ได้จริง สำหรับผู้ที่สนใจอยากเข้าร่วมหลักสูตรสำหรับผู้บริหารยุคใหม่ที่สอนโดยดร.ต้านี้ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://to.skooldio.com/techsauce-DLE2
บทความนี้เป็น Advertorial
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด