ภาพจาก yellowpages.co.th1 ในเรื่องที่เหล่า Startup หรือคนที่ต้องการจะทำ Startup อาจจะละเลยหรือไม่ทันได้คิดตั้งแต่ตอนแรกที่เริ่มทำบริษัทก็คือเรื่องการเสียภาษี จะมารู้ตัวอีกทีก็อาจเจอสรรพากรมาทวงถามแล้ว เรามีบทความที่จะแนะนำความรู้เรื่องนี้มาให้คนที่สนใจเป็น Startup ได้อ่านกันครับ โดยนักเขียนรับเชิญ ดร.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายเว็บไซต์ iTax.in.th
โดยปกติ Startup มักจะเลือกทำธุรกิจเป็นนิติบุคคลในรูปของบริษัทจำกัด ภาษีที่เกี่ยวข้องกับ Startup จึงน่าจะมีอย่างน้อย 2 ประเภท ได้แก่ ภาษีเงินได้ และภาษีมูลค่าเพิ่ม
- ภาษีเงินได้ คือ ภาษีที่เก็บจากรายได้ของ Startup ที่เกิดขึ้นระหว่างปี (โดยมากจะใช้ปีฏิทิน โดยนับตั้งแต่ 1 ม.ค. - 31 ธ.ค.) ซึ่งถ้า Startup จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เช่น ทำธุรกิจในรูปของบริษัทจำกัด Startup จะมีหน้าที่ต้องยื่นภาษีปีละ 2 ครั้ง ได้แก่
ยื่นแบบภาษีเงินได้ประจำปี ภายในวันที่ 30 พ.ค. ของทุกปี (แต่ปี 2558 นี้ตรงกับวันเสาร์และวันวิสาขบูชา เลยเลื่อนเป็นวันที่ 2 มิ.ย. 58 แทน)
ยื่นแบบภาษีเงินได้ครึ่งปี ภายในวันที่ 31 ส.ค. ของทุกปี
สำหรับนิติบุคคลอัตราภาษีแบบขั้นบันไดตั้งแต่ 0-20%
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม มักจะเรียกกันสั้นๆ ว่า VAT (Value Added Tax) คือ ภาษีที่เก็บจากยอดขายสินค้าหรือบริการที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือน โดย Startup ที่จดทะเบียนเข้าระบบ VAT แล้วจะมีหน้าที่ต้องยื่น VAT ภายในวันที่ 15 ของทุกเดือน
VAT จะจัดเก็บอยู่ในอัตราคงที่ 7%
ภาษีทั้ง 2 ประเภทนี้อยู่ในอำนาจจัดเก็บของหน่วยงานจัดเก็บภาษีที่มีชื่อว่า กรมสรรพากร ดังนั้น Startup ที่จะทำธุรกิจควรทำความรู้สำนักงานสรรพากรพื้นที่ใกล้บ้านเพื่อความสะดวกในการติดต่อราชการที่จะมีมาเรื่อยๆ
Startup ต้องเสียภาษีเงินได้หรือไม่?
ถ้า Startup มีรายได้มากกว่ารายจ่าย ก็ย่อมมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้อยู่แล้ว ส่วนต่างนี้กฎหมายเรียกว่า “กำไรสุทธิ” ซึ่งจะใช้เป็นฐานในการคำนวณภาษีในอัตรา 20% เช่น ถ้า Startup มีกำไรสุทธิ 1,000,000 บาท Startup จะมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเงิน 200,000 บาท (กำไรสุทธิ 1,000,000 บาท x อัตราภาษี 20%)
ในทางกลับกัน ถ้า Startup มีรายจ่ายมากกว่ารายได้ หรือเรียกง่ายๆ ว่าขาดทุน ก็ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในส่วนนี้เพราะไม่มีกำไร ซึ่ง Startup สามารถนำผลขาดทุนนี้ไปหักกลบในอนาคตได้หากต่อมา Startup มีกำไรในภายหลัง
ถ้า Startup ขาดทุนยังต้องยื่นภาษีอยู่ไหม?
ไม่ว่าจะขาดทุนหรือกำไร Startup ก็มีหน้าที่ต้องยื่นภาษีเงินได้ทุกปี ปีละ 2 ครั้งจนกว่าจะเลิกกิจการ
taxtic: ถ้าเลือกได้ Startup ควรเริ่มต้นจากทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5,000,000 บาท เพื่อรับสิทธิประโยชน์ในฐานะ SME ไปก่อนดีกว่า เพราะ Startup ที่มีทุนจดทะเบียนไม่เกิน 5 ล้านบาท (5 ล้านบาทพอดีก็ได้) และมียอดขายทั้งปีไม่เกิน 30 ล้านบาท จะได้รับสิทธิประโยชน์ในฐานะ SME ซึ่งช่วยให้ Startup ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีเงินได้สำหรับกำไรสุทธิ 300,000 บาทแรก และได้รับสิทธิเสียภาษีในอัตราพิเศษ 15% สำหรับกำไรสุทธิส่วนที่ไม่เกิน 3,000,000 บาท สำหรับกำไรส่วนที่เกิน 3,000,000 บาท จะเสียภาษีในอัตราปกติ 20% (มาตรา 3 พระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 583) พ.ศ. 2558)
เช่น ถ้า Startup มีกำไรสุทธิ 1,000,000 บาทเหมือนเดิมแต่ได้สถานะ SME มาแล้ว Startup จะได้รับยกเว้นภาษี 300,000 บาทแรก ทำให้เหลือกำไรที่ต้องเสียภาษีเพียง 700,000 บาท ซึ่งกำไร 700,000 บาทนี้ก็จะได้รับสิทธิเสียภาษีในอัตราพิเศษ 15% ด้วยเพราะกำไรของ Startup ที่ยังไม่เกิน 3,000,000 บาท ทำให้ Startup เสียภาษีเงินได้ 105,000 บาทเท่านั้น ในขณะที่ปกติจะต้องเสียภาษี 200,000 บาท นั่นหมายความว่า Startup จะสามารถประหยัดภาษีไปได้เกือบเท่าตัวเลยทีเดียว
อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล (SME)
![Screen Shot 2015-05-07 at 1.47.07 PM](https://storage.googleapis.com/techsauce-prod/uploads/2015/05/Screen-Shot-2015-05-07-at-1.47.07-PM.png)
ในครั้งหน้าจะมาเล่าต่อว่า Startup ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่?
เกี่ยวกับผู้เขียน
ดร.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ เป็นหนึ่งในทีมที่ปรึกษากฎหมายภาษีของ iTAX และเป็นเจ้าของผลงานพ็อคเก็ตบุ๊ค ITAX ภาษี ง่ายได้อีก
ปัจจุบัน ดร.ยุทธนา เป็นอาจารย์ประจำที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม โดย ดร.ยุทธนา สำเร็จการศึกษาทางด้านกฎหมายภาษีในระดับปริญญาโทและปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัย Southern Methodist University ประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยทุนพัฒนาบุคลากรของมหาวิทยาลัยสยาม