การมาถึงของ Virtual Bank หรือธนาคารไร้สาขา ถือเป็นก้าวสำคัญของระบบการเงินไทย ที่จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงิน พัฒนานวัตกรรมทางการเงิน และเพิ่มประสิทธิภาพในการแข่งขันในระบบการเงินไทยให้สูงขึ้น
Virtual Bank หรือ ธนาคารไร้สาขา คือ ธนาคารพาณิชย์รูปแบบใหม่ที่ดำเนินธุรกิจผ่านช่องทางดิจิทัลเต็มรูปแบบ โดยไม่มีสาขาหรือตู้ ATM ให้บริการ ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมต่างๆ เช่น การเปิดบัญชี ฝาก-ถอนเงิน โอนเงิน ชำระเงิน ขอสินเชื่อ และลงทุนผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งแตกต่างจากธนาคารดั้งเดิมที่ยังคงมีสาขาและให้บริการผ่านช่องทางออนไลน์ควบคู่กันไป
การจัดตั้งธนาคารไร้สาขามุ่งเน้นบริการทางการเงินแก่กลุ่มเป้าหมายสำคัญ 4 กลุ่ม ได้แก่
ปัจจุบัน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปิดรับคำขออนุญาตประกอบธุรกิจ Virtual Bank แล้วเมื่อวันที่ 19 กันยายนที่ผ่านมา โดยมีผู้ยื่นคำขอทั้งสิ้น 5 ราย ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมทั้งด้านเงินทุน เทคโนโลยี และฐานลูกค้าจำนวนมาก ทั้งนี้ ธปท. คาดว่าจะประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้ง Virtual Bank ได้ในช่วงกลางปี 2568 ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติการเงินครั้งใหม่ในประเทศไทย
1. กลุ่มธนาคารกรุงไทย (KTB) ร่วมกับ
การรวมตัวกันของ 4 ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานของไทย ถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่มีความพร้อมสูง โดยมีจุดเด่นที่แข็งแกร่งทั้งด้านธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ และฐานลูกค้ารวมกันกว่า 100 ล้านคน
2. กลุ่มซีกรุ๊ป (Sea Group) ร่วมกับ
กลุ่มนี้ถือเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่น่าจับตามอง โดย Sea Group ผู้นำแพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีประสบการณ์ในการทำ Virtual Bank ในสิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ร่วมมือกับ 3 ยักษ์ใหญ่ไทย มุ่งใช้จุดแข็งของแต่ละฝ่าย พัฒนานวัตกรรมการเงิน และเปิดโอกาสให้กลุ่มคนที่เข้าถึงบริการทางการเงินได้ยาก เข้าถึงบริการได้มากขึ้น
3. กลุ่ม ซี.พี. (CP) ร่วมกับ
ความร่วมมือระหว่าง Ascend Money (True Money) และ Ant Group สะท้อนถึงการผนึกกำลังของผู้นำค้าปลีกไทยและฟินเทคยักษ์ใหญ่จากจีน โดย True Money มีฐานลูกค้าในไทยกว่า 27 ล้านคน และ Ant Group มีฐานลูกค้าในจีนกว่า 1.3 พันล้านคน การรุกเข้าสู่ธนาคารไร้สาขาของ True Money เป็นไปอย่างน่าจับตา ด้วยความเชี่ยวชาญด้านฟินเทค และเป้าหมายในการเป็น Virtual Bank ที่จะให้คนไทย 'ครึ่งประเทศ' ได้ใช้แพลตฟอร์มของพวกเขา
4. กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ (SCBX) ร่วมกับ
การร่วมมือกันของ 3 ธนาคารยักษ์ใหญ่จาก 3 ประเทศ โดย KakaoBank มีจุดเด่นด้านเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น Chatbot และ AI ส่วน WeBank มีความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีทันสมัยระดับโลก การจับมือครั้งนี้สะท้อนความพร้อมของ SCBX ในการแข่งขัน Virtual Bank ที่กำลังคึกคักในไทย โดย SCBX มองว่าเป็นโอกาสดีที่จะช่วยให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงบริการทางการเงินได้มากขึ้น และถือเป็นการรวมพลังที่น่าจับตามอง ด้วยฐานลูกค้าในแต่ละประเทศรวมกันราว 400 ล้านคน
5. กลุ่ม Lightnet
การผนึกกำลังกันระหว่าง Lightnet นำโดย ชัชวาลย์ เจียรวนนท์ มีเครือข่ายในไทย 46 ล้านราย ครอบคลุมภาคเกษตร อาหารและเครื่องดื่ม และอีคอมเมิร์ซ มีช่องทางบริการ 150,000 แห่ง และประมวลผลปริมาณเงินทุนต่อปีกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ร่วมมือกับ WeLab ฟินเทคยูนิคอร์นจากฮ่องกง มีประสบการณ์ดำเนินการธนาคารเสมือนจริงที่ประสบความสำเร็จในฮ่องกงและอินโดนีเซียในฐานะ ‘Bank Saqu’ ซึ่งมีลูกค้าถึง 1 ล้านรายภายในเวลา 6 เดือนหลังเปิดตัว โดยมีเป้าหมายเพื่อให้บริการทางการเงินแก่ลูกค้ารายย่อยและธุรกิจขนาดเล็กที่ยังเข้าไม่ถึงบริการจากธนาคารทั่วไป
Virtual Bank ในต่างประเทศได้นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่น่าสนใจมากมาย ซึ่งอาจเป็นแนวทางให้กับ Virtual Bank ในไทยได้ เช่น
Virtual Bank มีศักยภาพในการปฏิวัติระบบการเงินไทย โดยเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงิน พัฒนานวัตกรรม และส่งเสริมการแข่งขัน อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของ Virtual Bank จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น การนำเสนอบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้า การใช้ประโยชน์จากข้อมูล การมีฐานลูกค้า การพัฒนาเทคโนโลยี และการกำกับดูแลที่เหมาะสม
ด้วยการเปิดกว้างให้มีผู้เล่น Virtual Bank มากขึ้น และการมีกลุ่มทุนที่มีศักยภาพเข้าร่วมแข่งขัน ทำให้เราสามารถคาดหวังได้ว่า Virtual Bank จะเข้ามาเปลี่ยนโฉมหน้าการเงินไทย และนำเสนอบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นในอนาคต
Virtual Bank เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาการเงินดิจิทัลของไทย ผู้เล่นทั้ง 5 รายที่เข้าร่วมแข่งขันล้วนมีจุดเด่นและความพร้อมที่แตกต่างกันไป คงต้องติดตามกันต่อไปว่าใครจะได้รับใบอนุญาต และ Virtual Bank จะเข้ามาเปลี่ยนโฉมหน้าการเงินไทยอย่างไรในอนาคต
อ้างอิง ธปท., Bloomberg, Bank of Thailand
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด