
แนวคิด Smart Dust มีรากฐานมาจากนิยายไซไฟเรื่อง The Invincible (1963) ของ Stanisław Lem ที่เล่าถึงเมฆดำของนาโนบอท (หุ่นยนต์ขนาดเล็กมาก) ที่สามารถรวมตัวกันเป็นฝูงเพื่อทำภารกิจต่างๆ ได้ ใครจะคิดว่าอีกไม่กี่ทศวรรษต่อมา จินตนาการสุดล้ำนี้จะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับการพัฒนาเทคโนโลยีทางการทหารอย่างจริงจัง

แม้ชื่อจะฟังดูเหมือนฝุ่น แต่ในความเป็นจริง Smart Dust คือเครือข่ายของไมโครเซ็นเซอร์ (Motes) ขนาดเล็กจิ๋วจำนวนมหาศาล ที่ทำงานร่วมกันเพื่อตรวจจับและส่งข้อมูลกลับไปยังศูนย์ควบคุม โดยมีวิวัฒนาการและคุณสมบัติที่น่าสนใจดังนี้

จุดเริ่มต้นของ Smart Dust มาจากการเป็นข้อเสนอโครงการวิจัยให้กับ DARPA (หน่วยงานวิจัยเทคโนโลยีขั้นสูงของกองทัพสหรัฐฯ ผู้อยู่เบื้องหลังอินเทอร์เน็ตและ GPS) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงเป้าหมายทางการทหารและการสอดแนมอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเทคโนโลยีนี้ได้ขยายไปสู่อุตสาหกรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่การศึกษาด้านสิ่งแวดล้อมไปจนถึงอุตสาหกรรมเหมืองแร่ โดยบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Hewlett-Packard (HP) และ Emerson Process Management ก็เป็นผู้เล่นสำคัญในตลาดนี้ ซึ่งคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดของ Smart Dust จะเติบโตจาก 115 ล้านดอลลาร์ในปี 2022 ไปสู่เกือบ 400 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2032
แม้เทคโนโลยีนี้จะดูน่าทึ่ง แต่ในอีกมุมหนึ่งก็มีด้านที่น่ากังวลและข้อจำกัดสำคัญที่ทำให้ Smart Dust ยังเป็น เทคโนโลยีดิสโทเปีย (นำไปสู่การควบคุม กดขี่ หรือจำกัดเสรีภาพ) ที่ต้องพัฒนาอีกมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งศักยภาพในการสอดแนมที่ไร้ขีดจำกัดของ Smart Dust ทำให้เกิดคำถามด้านจริยธรรมและการใช้งานในทางที่ผิดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น
นอกเหนือจากความกังวลด้านจริยธรรมแล้ว ในทางปฏิบัติ Smart Dust ยังมีขีดจำกัดสำคัญ 2 ประการ
แม้จะยังอยู่ในช่วงของการพัฒนา แต่ Smart Dust ก็เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่กำลังผลักดันเส้นแบ่งระหว่างจินตนาการและความเป็นจริงให้ขยับเข้าใกล้กันมากขึ้น พร้อมกับทิ้งคำถามสำคัญไว้ให้เราขบคิดถึงโลกอนาคตที่ความเป็นส่วนตัวอาจกลายเป็นเพียงอากาศธาตุที่จับต้องไม่ได้
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด