ปี 2025 กำลังจะมาถึงพร้อมกับคลื่นแห่งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี บทความนี้สรุปและอธิบายเทรนด์สำคัญจากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่านผ่านบทสัมภาษณ์พิเศษของ Techsauce เพื่อให้เห็นภาพรวมและความเชื่อมโยงของเทคโนโลยีที่จะกำหนดทิศทางอนาคต
คุณเรืองโรจน์ มองว่าปี 2025 จะเป็นปีแห่ง Agentic AI ซึ่งเป็น AI ที่ไม่เพียงแต่ประมวลผลข้อมูลมหาศาลได้ แต่ยังสามารถตัดสินใจเอง และมีปฏิสัมพันธ์กับทั้งมนุษย์และ AI ด้วยกันเองได้อย่างอิสระ การเปลี่ยนผ่านนี้จะส่งผลกระทบต่อรูปแบบธุรกรรมต่างๆ อย่างมหาศาล
ตัวอย่างเช่น AI Agent อาจทำหน้าที่เป็นตัวแทนซื้อขายสินค้า หรือเจรจาสัญญาแทนเราได้ สามารถวางแผนและดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ได้รับมอบหมายได้ เหมือนมีผู้ช่วยที่เป็น AI ที่ทำงานได้จริง สามารถเข้าใจบริบท, วิเคราะห์สถานการณ์, ปรับตัวตามสภาพแวดล้อม, และโต้ตอบกับทั้งมนุษย์และ AI อื่นๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม การมอบอำนาจการตัดสินใจให้กับ AI ย่อมนำมาซึ่งความท้าทายด้าน จริยธรรม (AI Ethical) และความโปร่งใส (Mechanistic Interpretability) เราจำเป็นต้องเข้าใจกระบวนการคิดและการตัดสินใจของ AI เพื่อให้มั่นใจว่า AI จะทำหน้าที่อย่างถูกต้องและเป็นธรรม รวมถึงการวางกรอบกฎหมายและข้อบังคับเพื่อควบคุมการใช้งาน AI อย่างรับผิดชอบ
นอกจากนี้ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญ AI จะถูกนำมาใช้ทั้งในแง่รุกและรับ ทั้งเพื่อโจมตีและป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ซับซ้อนมากขึ้น ส่วน Spartial Computing จะเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่เชื่อมโยงโลกจริงและโลกดิจิทัลเข้าด้วยกันอย่างแนบเนียน สร้างประสบการณ์เสมือนจริงที่สมบูรณ์แบบ
ขณะที่ Next-Generation Data Center จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่รองรับการประมวลผลข้อมูลมหาศาล และ AI Reasoning จะยกระดับความสามารถของ AI ในการให้เหตุผลและอธิบายสิ่งต่างๆ ใกล้เคียงมนุษย์มากขึ้น
คุณเรืองโรจน์ยังคาดการณ์ว่าฟองสบู่ AI อาจแตกในปีหน้า แต่จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่ AI จะพัฒนาไปอีกขั้น โดยมีเทรนด์สำคัญอื่นๆ ที่น่าจับตามอง ได้แก่
ทางฝั่งคุณอรนุช ในฐานะผู้ประกอบการ และได้เห็นเทรนด์เทคโนโลยีสำคัญผ่านงานต่างๆ ทั่วโลก ได้เน้นย้ำ 3 เทรนด์หลักที่ธุรกิจไทยควรให้ความสำคัญ ได้แก่
1. การนำ AI มาใช้เพื่อสร้าง Product Innovation การค้นหา New-Surve และ Process Improvement เราอาจจะตื่นตัวกับ Agentic AI ที่ปีนี้เป็นไฮไลน์สำคัญในเวลานี้ แต่เราต้องอย่าลืมกลับไปถึงแก่นของการนำเทคโนโลยีมาใช้ ต้องสอดคล้องกับเป้าหมายและกลยุทธ์ของธุรกิจไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดต้นทุน และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจทุกขนาด และนี่คือโอกาสของผู้ประกอบการรายเล็กด้วยเช่นกัน
2. Climate Tech เทคโนโลยีเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของพลังงานหมุนเวียนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเทคโนโลยีที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ ด้วย ช่วงที่ผ่านมาเราเห็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นมามากขึ้น เห็นความร่วมมือข้ามภูมิภาคเช่น กองทุนจากออสเตรเลียและอินโดนีเซียจับมือร่วมกัน ลงทุนด้าน ClimateTech Startup ตรง
3. Health Tech เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพที่ครอบคลุมตั้งแต่การป้องกัน การรักษา และการฟื้นฟูสุขภาพ โดยเน้นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมตลอดช่วงชีวิต โดยเทคโนโลยีสุขภาพจะเข้าไปอยู่ในทุกช่วงวงจรชีวิต ตั้งแต่การป้องกัน รักษา และฟื้นฟู โดยเฉพาะการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และเทรนด์ผู้สูงอายุ ซึ่งจะทำให้เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องได้รับการพัฒนาและนำไปใช้อย่างแพร่หลาย
และอีกเรื่องที่สำคัญคือโลกของ AI และ Biology ได้เข้าใกล้กันมากขึ้น การคินค้นผลิตยา ความก้าวหน้าของ AlphaFold จะเปลี่ยนโฉมหน้าของการพัฒนายารักษาโรค และอีกหลายภาคธุรกิจที่เกี่ยวของกับ Biology ไปอย่างสิ้นเชิง
ทางฝั่งคุณการดี ในฐานะนักอนาคตศาสตร์ ได้นำเสนอมุมมอง 5 เทรนด์เทคโนโลยีที่จะพลิกโฉมโลกในปี 2025 ได้แก่
1. Ambient AI หรือ AI ที่จะผสานรวมเข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา เช่น Wearable Device ที่ช่วยดูแลสุขภาพ
2. Humanoid หุ่นยนต์ที่เหมือนมนุษย์ ซึ่งจะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น
3. Extended Reality (XR) ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ Metaverse หรือ AR/VR แต่จะสร้างประสบการณ์เสมือนจริงที่หลากหลายและสมจริงยิ่งขึ้น
4. Neurotechnology เทคโนโลยีที่ช่วยให้เราเข้าใจการทำงานของสมองมากขึ้น ซึ่งจะถูกนำมาใช้ในหลายด้าน ตั้งแต่การตลาด การรักษาโรค ไปจนถึงการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์
5. Quantum Computing เทคโนโลยีที่จะปฏิวัติวงการคอมพิวเตอร์ ด้วยความเร็วในการประมวลผลที่เหนือชั้น คุณการดีเน้นย้ำว่าประเทศไทยควรเตรียมความพร้อมรับมือกับ Quantum Revolution ด้วยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียน และการพัฒนาทักษะบุคลากร รวมถึงการส่งเสริม Lifelong Learning เพราะทักษะในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจอนาคต ปรับตัวให้ทัน และมองหาโอกาสจากการเปลี่ยนแปลง เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่า
คุณการดีเน้นย้ำว่า ประเทศไทยต้องเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ด้วยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียน และการพัฒนาทักษะบุคลากรให้พร้อมสำหรับยุค Lifelong Learning รวมถึงการส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรแบบ Decentralization เพื่อให้สามารถปรับตัวและคว้าโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ