โอลิมปิก ปารีส 2024 จะเป็นครั้งที่ 3 แล้วที่ปารีสได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก โดยมี LVMH เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนหลัก ซึ่งทำให้คนทั่วโลกต่างจับตาโอลิมปิกในปีนี้อย่างมากว่ามันจะกลายเป็น Luxury Olympics หรือมหกรรมกีฬาที่หรูหราและมีสไตล์มากที่สุดในประวัติศาสตร์
แต่เชื่อหรือไม่ว่า การเป็นเจ้าภาพงานโอลิมปิกครังที่ 1 และ 2 เมื่อ 124 ปีที่แล้วของฝรั่งเศสไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างทุกวันนี้ แต่ แทบไม่มีคนสนใจ !
บทความนี้ Techsauce จะพาไปย้อนรอยเรื่องราวของ 'ปารีสโอลิมปิก' 2 ครั้งที่ผ่านมาว่า ฝรั่งเศสทุ่มสุดตัวเท่าปีนี้ไหม และเขาเคยได้อะไรกลับไปบ้าง
การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกมีประวัติยาวนานกว่าพันปี แต่การแข่งโอลิมปิกโบราณถูกยกเลิกตั้งแต่ 393 ปีก่อนคริสตกาล และการชุบชีวิตโอลิมปิกสู่ยุคใหม่เกิดขึ้นได้เพราะชายชาวฝรั่งเศสชื่อ Baron Pierre de Coubertin
เขาเชื่อว่าโอลิมปิกจะเชื่อมคนทั่วโลกเข้าด้วยกันได้ โดยยังคงใช้โมเดลการจัดแข่งขันทุก 4 ปีเหมือนเดิม ภายใต้ชื่อ The Modern Olympic Games ที่ครั้งแรกจัดขึ้น ณ กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ ในปี 1896 เพื่อเป็นเกียรติแก่ประเทศต้นกำเนิดของโอลิมปิกโบราณ
4 ปีผ่านไปจากการจัดโอลิมปิกยุคใหม่ครั้งแรก ในปี 1900 ฝรั่งเศสก็ได้โอกาสเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก แต่มันดันมาจัดตรงกับงาน Paris EXPO งานแสดงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและวัฒนธรรมครั้งใหญ่ของโลก อีกหนึ่งงานที่ฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพขณะนั้น
ในงาน Paris EXPO มีการแสดงเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น บันไดเลื่อนตัวแรก รถยนต์ เครื่องบิน และภาพยนตร์ สร้างความฮือฮาไม่แพ้การเกิดขึ้นของ AI ในยุคปัจจุบัน ไทยเองก็ได้รับการสนับสนุนจากรัชกาลที่ 5 ให้ส่งสินค้า ผ้าไหม และเฟอร์นิเจอร์แบบไทยไปโชว์ด้วย
Paris EXPO แย่งซีนการแข่งโอลิมปิกไปหมด บวกกับโอลิมปิกครั้งนั้นไม่มีพิธีเปิดหรือปิดอย่างเป็นทางการที่น่าจดจำ ทำให้คนเข้าใจผิดว่าการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเป็นส่วนหนึ่งของงาน Paris EXPO และที่แย่ไปกว่านั้นนักกีฬาหลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการแข่งกีฬาที่ตนเองเข้าร่วม คือ การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก
ฝรั่งเศสทุ่มสุดตัวกับโอลิมปิกแค่ไหน ?
ค่าใช้จ่ายในการจัดโอลิมปิกครั้งนี้ไม่มาก เมื่อเทียบกับเงิน 120 ล้านฟรังก์ (ราว 4.8 พันล้าน) ที่ฝรั่งเศสใช้กับงาน Paris Expo สำหรับงานโอลิมปิกเงินที่ใช้ไปส่วนใหญ่ คือ การให้เงินรางวัลแก่ผู้ชนะ เช่น Albert Ayat แชมป์กีฬาฟันดาบที่ได้รับเงินรางวัลกว่า 3,000 ฟรังก์ หรือประมาณแสนกว่าบาท
โอลิมปิกในปี 1900 ฝรั่งเศสได้อะไรกลับคืนมาบ้าง ?
แม้โอลิมปิก 1900 จะดูเงียบเหงาแต่ก็มีนักกีฬาที่เดินทางมาแข่งเกือบ 1,000 คนจากทั้งหมด 24 ประเทศ ฝรั่งเศสประกาศว่าได้ขายตั๋วเข้าชมงานมูลค่า 1,000,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 35 ล้านบาท)
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่การขายตั๋วหรือการดึงดูดคนเข้ามายังฝรั่งเศส ( Paris Expo มีคนมาเยี่ยมชมงานกว่า 50 ล้านคน มากกว่าโอลิมปิกหลายเท่า) แต่คือ ‘การทำลายกำแพงเรื่องเพศ’
เพราะในปีนี้นับเป็นครั้งแรกในโลกตั้งแต่มีโอลิมปิกมาที่ผู้หญิงลงแข่งได้อย่างเป็นทางการ แม้ว่าจำนวนจะน้อยมากก็ตาม โดยมีนักกีฬาชาย 975 คนและหญิง 22 คน เข้าร่วมการแข่งขัน และมี Briton Charlotte Cooper กลายเป็นแชมป์โอลิมปิกหญิงเดี่ยวคนแรกในกีฬาประเภทเทนนิสเดี่ยว
การที่ผู้หญิงได้มีโอกาสลงแข่งขันโอลิมปิกเป็นการเปิดประตูสู่ความเท่าเทียมทางเพศในวงการกีฬา หญิงยุคนั้นแต่งชุดกระโปรงยาว ตีกอล์ฟ ตีเทนนิส และยิงธนู ถือเป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่ส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน
นับเป็นครั้งที่ 2 ของฝรั่งเศสในฐานะเจ้าภาพผู้จัดการแข่งขันโอลิมปิก ทำให้การแข่งขันครั้งนี้ฝรั่งเศสตั้งใจที่จะฟื้นฟูกีฬานี้อย่างจริงจัง และสร้างภาพจำใหม่ให้กับคนทั่วโลก
ส่งผลให้ในปี 1924 ฝรั่งเศสทุ่มเงินมากขึ้นในการจัดงานโอลิมปิก โดยใช้เงินที่ราวๆ 10,000,000 ฟรังก์ หรือกว่า 400 ล้านบาท ซึ่งเยอะพอสมควรเมื่อเทียบกับค่าเงินเมื่อ 100 ปีที่แล้ว แต่การทุ่มทุนในครั้งนี้ก็ช่วยให้การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ปารีสครั้งที่ 2 ได้รับความนิยมมากกว่าครั้งแรก
มีผู้เข้าร่วมงานถึง 60,000 คนต่อวัน นักกีฬาที่เข้าร่วมการแข่งขันก็เพิ่มขึ้นถึง 44 ประเทศ รวมถึงมีการรายงานข่าวจากสื่อทั่วโลกมากขึ้น ออกอากาศทางวิทยุ จนไปถึงการทำเป็นหนัง ซึ่งทำให้การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเข้าถึงผู้ชมในวงกว้างขึ้น
จนผู้คนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปี 1924 ที่กรุงปารีสถือเป็นจุดเปลี่ยนของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ทำให้การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกมีขนาดใหญ่ขึ้นและได้รับการยอมรับจากทั่วโลกมากกว่าแต่ก่อน
ทำไมถึงเป็นจุดเปลี่ยน ?
อย่างที่รู้กันดีว่าก่อนหน้านี้ภาพลักษณ์ของโอลิมปิกไม่ใช่อีเวนต์ที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก ผู้คนไม่ได้ให้ความสนใจกับงานนี้มากเท่าปัจจุบัน ซึ่งการกลับมาเป็นเจ้าภาพครั้งที่ 2 ของฝรั่งเศสก็เหมือนเป็นการเซ็ทระบบให้กับการแข่งขันโอลิมปิก ทำให้เกิดประเพณีและแนวคิดใหม่ๆ มากมายที่ยังคงยึดถือไว้ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในปัจจุบัน อาทิ
แต่โอลิมปิกปีนี้ก็ยังขาดทุน !
หากวัดกันในแง่ของตัวเงินการจัดการแข่งขันที่ใช้เงินไปกว่า 400 ล้านบาท เงินที่ได้คืนมาตามการายงานของ New York Times ชี้ว่ารายได้รวมอยู่ที่ 5.4 ล้านฟรังก์หรือราวๆ 223 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งขาดทุนไปเกือบ 200 ล้านบาท
แล้วโอลิมปิกในปี 1924 ฝรั่งเศสได้อะไรกลับคืนมาบ้าง ?
นอกจากความสำเร็จในการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับกีฬาโอลิมปิก ในฐานะอีเวนท์กีฬาที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก ฝรั่งเศสไม่เพียงสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้โอลิมปิก แต่ยังเน้นพัฒนาโครงสร้างเมืองที่ยั่งยืน ใช้ประโยชน์ต่อเนื่องได้แม้หลังจบการแข่งขัน ซึ่งสะท้อนแนวคิดที่ฝรั่งเศสยึดมั่นในเรื่องความยั่งยืนมาตลอดกว่า 100 ปี อาทิ
ทั้งนี้ การจัดโอลิมปิกในปี 2024 ฝรั่งเศสยังคงเน้นเรื่องความยั่งยืนและได้ LVMH อาณาจักรแบรนด์หรูระดับโลก ที่มีธุรกิจในเครืออย่าง Louis Vuitton, Christian Dior, Givenchy, Celine, Tag Heuer, Sephora และอีกมากมายรวมกว่า 75 แบรนด์ มาเป็น Premium Partner
และคาดว่าบริษัทใช้งบประมาณถึง 166 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 6 พันล้านบาท ซึ่งมากกว่าครั้งแรกที่จัดหลายร้อยเท่า และมากกว่าปี 1924 ถึง 15 เท่า ทำให้การแข่งขันนี้คาดว่าจะดึงดูดความสนใจจากผู้ชมทั่วโลกได้กว่าพันล้านคน ไม่รวมผู้ชมที่จะเดินทางไปยังปารีสอีกราว 2-3 ล้านคน
ในฐานะสปอนเซอร์รายใหญ่และตัวแทนของฝรั่งเศส แน่นอนว่าธุรกิจของ LVMH จะได้รับการประชาสัมพันธ์ไปทั่วโลก ไม่ว่าจะผ่านงานออกแบบที่สะท้อนถึงความหรูหราของแต่ละแบรนด์ การมีส่วนร่วมกับการแข่งกีฬา
แต่การลงทุนนี้ครั้งนี้จะคุ้มค่าหรือไม่ เงินที่ใช้ไปกับการเป็นสปอนเซอร์โอลิมปิกนั้นจะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจและสังคมฝรั่งเศสในระยะยาวอย่างไร และฝรั่งเศสจะได้อกำไรกลับมาไหมยังคงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป
อ้างอิง: athensenvironmental, britannica, stillmed.olympics, showstudio, olympics1, olympics2
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด