บทความโดย คุณถิรพันธุ์ สรรพกิจ รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานเทคโนโลยีสารสนเทศตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปร่วมการเปิดตัวแอปพลิเคชันรายใหม่ด้านการลงทุนถึง 2 งานติด ๆ กัน คือ FinVest app ซึ่งเป็นการจับมือกันของ KBANK, RoboWealth, Lufax แอปพลิเคชันที่จะทำให้ผู้ลงทุนไทยสามารถลงทุนในกองทุนรวมจาก บลจ. ชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศได้โดยตรง และอีกรายคือบริการใหม่ True Money ร่วมกับบริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน Ascend Wealth และอีก 10 บลจ. ให้บริการเปิดบัญชีและซื้อขายกองทุนรวมผ่าน TrueMoney Wallet app
ทั้งสองแอปพลิเคชันมุ่งเป้าไปที่ฐานลูกค้าใหม่ที่อาจจะยังไม่มีประสบการณ์ด้านการลงทุน โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีเพื่อแก้ Pain Point หลัก คือ ความยากในการเข้าใจเรื่องการลงทุนของกลุ่มลูกค้าในวงกว้าง รวมถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์การลงทุนที่เหมาะสมกับลูกค้าได้ในระดับบุคคล ซึ่งจะเป็นทางเลือกใหม่สำหรับบริการทางการเงินในอนาคต โดยได้นำเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยหลายด้านมาปรับใช้ ทั้งการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ลงทุนเพื่อนำมาซึ่งข้อแนะนำในการเลือกกองทุนที่เหมาะสมในแบบรายบุคคล (Personalized) ถ้าจะเปรียบไปก็คล้าย Netflix ที่แนะนำหนังตามพฤติกรรมของผู้ชมรายคนเพื่อให้ถูกใจที่สุด เพราะแต่ละคนมีรสนิยมการดูหนังที่ต่างกัน การลงทุนก็เช่นกัน ความต้องการผลิตภัณฑ์ในแต่ละช่วงอายุ แต่ละอาชีพ ปัจจัยด้านครอบครัวที่แตกต่างกัน ก็ย่อมส่งผลต่อการเลือกลงทุนในรูปแบบที่แตกต่างกันเป็นธรรมดา
หากจะเปรียบเทียบกับการพัฒนาในอุตสาหกรรมรถยนต์ แอปทั้งสองตัวนี้ก็น่าจะเทียบได้กับรถไฟฟ้ารุ่นใหม่ ที่ไม่ใช่แค่ขับเองได้ แต่สามารถแนะนำทางเลือกที่ดีให้เราได้อีกด้วย เช่น เราแค่บอกว่า อยากหาร้านอาหารสำหรับมื้อเย็น รถอัจฉริยะก็สามารถเลือกร้านอาหารที่มีคุณภาพ เหมาะกับเราได้ทั้งในเรื่องความชอบและราคาที่พอเหมาะกับขนาดกระเป๋าของเราให้ด้วยเลย รวมถึงยังสามารถเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดในการขับไปได้เองอีกต่างหาก ซึ่งนอกจากทำให้เราได้ถูกปากถูกใจกับอาหารแล้ว ก็น่าจะทำให้ร้านอาหารดี ๆ มีคุณภาพ สามารถมียอดขายที่เพิ่มขึ้นได้อีกด้วย
แต่รถที่มีสมรรถนะดีและขับเคลื่อนเองได้ จะแสดงศักยภาพได้เต็มที่หรือไม่นั้น ต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีรองรับด้วย เช่น ผังเมือง สภาพถนนดี ไฟจราจรดี แสงสว่างดี ป้ายบอกทางดี ตำแหน่งร้านที่ชัดเจนถูกต้อง รายละเอียดร้านค้า และรายการอาหาร เป็นต้น จะช่วยให้ผู้ออกแบบรถทำงานได้ง่ายขึ้นและรถอัจฉริยะเหล่านี้จะสามารถทำงานได้ถูกต้องตามการออกแบบ
สำหรับแอปพลิเคชันด้านการลงทุนแนวใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ก็ต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่ดีเช่นเดียวกัน เรียกว่า โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลในการต่อเชื่อมกับระบบรอบข้างในการลงทุน เช่น ความสามารถในการต่อเชื่อมระบบส่งคำสั่งซื้อขายไปยังบริษัทจัดการกองทุนได้หลาย ๆ แห่ง เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกลงทุนในกองทุนรวมหลากหลายประเภท รวมถึงสามารถต่อเชื่อมกับกองทุนในต่างประเทศโดยตรงได้ในอนาคต ซึ่งจะเพิ่มความหลากหลายมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยการต่อเชื่อมดังกล่าว ยิ่งต่อได้มากแอปนั้นก็จะยิ่งสามารถสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผู้ลงทุนที่มีความต้องการหลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตามการต่อเชื่อมนี้ก็ไม่ง่ายเพราะจะมีต้นทุนในทุก ๆ การต่อเชื่อม ซึ่งหากผู้พัฒนาแอปแต่ละรายไปต่อเชื่อมกันเอง ก็อาจทำให้ต้นทุนสูงเกินจุดที่เหมาะสม ซึ่งสุดท้ายภาระต้นทุนเหล่านั้นก็จะกลับมาที่ผู้ลงทุนในที่สุด อีกทั้งระยะเวลาที่ใช้ในการพัฒนาการต่อเชื่อมหลาย ๆ แห่ง จะทำให้การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การวิเคราะห์ความต้องการลูกค้า ไม่สามารถทำได้รวดเร็วทันความต้องการ ทั้งนี้ หากมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดีที่แอปต่อเชื่อมได้ในจุดเดียวแต่สามารถเข้าถึงกองทุนในประเทศไทยได้เกือบทั้งหมด และจะต่อเชื่อมไปยังกองทุนต่างประเทศได้ในอนาคต ก็จะทำให้แต่ละแอปสามารถพัฒนาศักยภาพได้เต็มที่
ทั้งนี้ ถือเป็นหนึ่งในความภูมิใจของตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า โครงสร้างพื้นฐานที่ผมได้ยกตัวอย่างนั้น ได้เกิดขึ้นและมีการใช้งานจริงแล้วมากว่า 3 ปี ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวมีชื่อว่า “FundConnext Platform” ที่ได้ริเริ่มโครงการมาตั้งแต่ปี 2560 โดยท่านผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ ท่านปัจจุบัน ดร. ภากร ปีตธวัชชัย ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองผู้จัดการสายงานกลยุทธ์องค์กร โดยแอปทั้งสองตัวที่ผมกล่าวข้างต้น ก็ได้ใช้ FundConnext ในการต่อเชื่อมเข้าถึงผลิตภัณฑ์กองทุนรวมทั้งหมด และในอนาคตอันใกล้ FundConnext จะสามารถต่อเชื่อมกับกองทุนต่างประเทศผ่าน Clearstream ซึ่งเป็นศูนย์รับฝากหลักทรัพย์นานาชาติระดับโลกภายใต้กลุ่มตลาดหลักทรัพย์เยอรมัน ทำให้แอปต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อ FundConnext อยู่แล้วเข้าถึงกองทุนต่างประเทศได้เลยโดยไม่ต้องไปพัฒนาการต่อเชื่อมเอง และสามารถตอบโจทย์การให้บริการลูกค้าได้อย่างเต็มศักยภาพด้วยต้นทุนที่เหมาะสม
ดังนั้น เพื่อให้ตลาดทุนไทยมีการพัฒนาให้สามารถก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัล ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงมุ่งมั่นที่จะเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่มีความจำเป็นในระบบนิเวศของตลาดทุนไทย เพื่อช่วยให้ผู้พัฒนาแอปพลิเคชันทำงานง่ายขึ้น มีรูปแบบการต่อเชื่อมที่เป็นมาตรฐาน โดยไม่ต้องแบกรับต้นทุนในการออกแบบเองทั้งหมด ซึ่งจะมีส่วนสนับสนุนในเกิด FinTech app ประเภทใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้นในอนาคต
ตัวอย่างโครงสร้างพื้นฐานที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้สร้างมาแล้ว เช่น Settrade Streaming Platform ที่ให้บริการมาตั้งแต่ปี 2543 ทำให้การพัฒนาการซื้อขายหลักทรัพย์ผ่าน Internet Trading และ Mobile Trading เติบโตได้แบบก้าวกระโดดจนถึงปัจจุบัน และ FundConnext Platform ที่เป็น Gateway เชื่อมต่อไปยังกองทุนที่หลากหลายของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทั้งในประเทศและกำลังจะให้บริการกองทุนในต่างประเทศที่ได้ยกตัวอย่างมา รวมถึง FinNet Payment Platform ที่เป็นระบบ Payment สำหรับผู้ร่วมตลาดทุน
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีแผนงานที่จะสร้างโครงสร้างพื้นฐานรองรับ Digital Asset อันได้แก่ Digital Token ที่เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลในด้านต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Asset-backed Digital Token ที่แสดงกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ เช่น คอนโดห้องหนึ่ง อาจจะมีเจ้าของร่วมถือ Token ได้เป็นสิบเป็นร้อยคน เพื่อสามารถแบ่งผลตอบแทนในการปล่อยเช่าได้ ซึ่ง Digital Token เหล่านี้ก็จะเป็นทางเลือกในการลงทุนในอนาคตได้อีกทางหนึ่งด้วย โดยโครงสร้างพื้นฐานหลัก ๆ ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้พัฒนามาแล้วแทบทั้งหมดได้พิสูจน์ในระดับหนึ่งแล้วว่ามีส่วนสำคัญในการพัฒนาตลาดทุนไทยในภาพรวม ทั้งในเรื่องของการเติบโตแบบก้าวกระโดดของผู้ใช้งานในระบบ รวมถึงการขยายบริการเพื่อรองรับผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ มาอย่างต่อเนื่อง
ตลาดหลักทรัพย์ฯ เชื่อมั่นว่าการมีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลด้านตลาดทุนที่ดี จะช่วยให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ และผู้ร่วมตลาดร่วมกันพัฒนาบริการที่ดีสำหรับผู้ลงทุน เพิ่มความสามารถตลาดทุนไทยในการแข่งขันในโลกดิจิทัลระดับโลกได้อย่างยั่งยืน ซึ่งสุดท้ายแล้วก็จะเป็นประโยชน์โดยรวมของผู้ร่วมตลาดทุนไทยตามวิสัยทัศน์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ “To Make the Capital Market ‘Work’ for Everyone” ครับ
บทความโดย คุณถิรพันธุ์ สรรพกิจ รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานเทคโนโลยีสารสนเทศตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด