เมื่อวันที่ 22 ก.ค. ที่ผ่านมา สยามดิสคัฟเวอรี่ ได้เปิดงาน Fight for the Future นำโลก Metaverse จาก The Sandbox ออกมาให้ทุกคนได้ร่วมสัมผัสประสบการณ์ดิจิทัลแลนด์ในโลกจริงครั้งแรกของโลกบนพื้นที่ Future Lab สยามดิสคัฟเวอรี่ ที่ทุกคนสามารถสร้าง Avatar เป็นของตัวเอง ร่วมสนุกกับการชกมวยในรูปแบบใหม่ (Punching speed gaming) และมีพื้นที่สำหรับการแสดงออกต่ออุดมการณ์ในเชิงบวกต่อโลกผ่าน Augmented Reality (AR)
โปรเจกต์ Fight for the Future เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง สยามพิวรรธน์ กับพาร์ทเนอร์ที่มีความเชี่ยวชาญการสร้างสรรค์เกมบนโลก Metaverse อย่าง นิมิต สตูดิโอ และ Cryptomind ผู้ให้บริการทางการเงินด้านสินทรัพย์ดิจิทัลและการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน รวมถึง Fairtex ผู้นำในวงการต่อสู้และเสื้อผ้าสำหรับมวยไทย
คุณสาลวิท สุวิพร ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนวัตกรรมธุรกิจ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด เล่าถึงที่มาของโปรเจกต์ว่า สยามดิสคัฟเวอรี่ เป็นพื้นที่ที่ให้คนได้มาค้นหาประสบการณ์ เป็น Playground ของคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ จึงพยายามคิดโปรเจกต์ใหม่ๆ ขึ้นตลอดเวลา ออกแบบในแต่ละชั้นเพื่อรองรับแต่ละคอมมิวนิตี้แต่ละกลุ่ม (Based on Community) ปัจจุบันมีพื้นที่สำหรับคอมมูนิตี้คนรักษ์โลก คนชอบสินค้าญี่ปุ่น คนชอบดีไซน์และแฟชั่น ซึ่งโปรเจกต์ Fight for the Future จะเป็นการสร้างคอมมูนิตี้ใหม่ที่คือกลุ่ม Gamer และ NFT
โดยสร้าง On Ground Experience ผสมผสานกันระหว่าง Gamification กับ Retail ที่ชั้น G เน้นการสร้างประสบการณ์ง่ายๆ ให้ทุกคนได้เรียนรู้การสร้าง Avatar เป็นของตัวเองได้ แต่งตัวด้วยชุดมวยไทย และสามารถถ่ายรูปกับ Avatar ของตัวเองได้ โดยไม่ต้องสวมแว่น VR นอกจากนี้ยังมีเกม Punching Speed Gaming เป็นเวทีชกมวยในรูปแบบใหม่ ให้คนได้รู้จักมวยไทยอย่างแท้จริง เมื่อเล่นเสร็จแล้วจะได้คะแนน และสามารถนำคะแนนไปแลกเป็นสิทธิประโยชน์ต่างๆ กลับไปที่ ONESIAM SuperApp ได้
สำหรับชั้น 4 ปรับโฉมเป็นพื้นที่ของคนรุ่นใหม่ที่สามารถเข้ามาดู NFT Showcase จากทั่วโลก และสนุกกับ AR ผ่านพื้นที่สำหรับการแสดงออกต่ออุดมการณ์ในเชิงบวกต่อโลก หรือ Fight For ทั้ง 5 Fight for Love, Fight for Nature, Fight for Style, Fight for Peace และ Fight for Fun โดยใช้สมาร์ทโฟนสแกน QR Code ในแต่ละจุด นอกจากนี้ยังมีโซน Game Station สำหรับเกมเมอร์ที่สนใจเข้ามาสัมผัสประสบการณ์การเล่นเกมบน Metaverse ผ่านคอมพิวเตอร์ที่จัดไว้ให้เล่นอีกด้วย
“Fight for the Future เป็นครั้งแรกของโลกที่สยามดิสคัฟเวอรี่ยก Future Lab เข้าไปอยู่ใน The Sandbox เป็นการผสาน O2O โดยมีแพลตฟอร์ม ONESIAM SuperApp และสยามดิสคัฟเวอรี่ เป็นจุดเชื่อมระหว่าง Retail กับโลก Metaverse ซึ่งยังไม่มีใครทำมาก่อน” คุณสาลวิท กล่าวเสริม
สำหรับโปรเจกต์ Fight for the Future เป็นการต่อยอด Roadmap ของสยามพิวรรธน์ในการเข้าสู่โลก Metaverse ผ่านการใช้วัฒนธรรม ซึ่งในครั้งนี้เลือกใช้มวยไทยเป็นสื่อกลางการสื่อสารกับ Gamer จากทั่วโลก บนแพลตฟอร์มอย่าง The Sandbox ที่มีผู้เล่นกว่า 2 ล้านคนทั่วโลก
คุณสาลวิท กล่าวว่า วิสัยทัศน์ของสยามพิวรรธน์ คือการเข้าถึงลูกค้าทั่วโลก สำหรับครั้งนี้จะเจาะกลุ่ม Gamer ทั่วโลก ซึ่งสิ่งสำคัญคือต้องหาพาร์ทเนอร์ที่คิดเหมือนกันให้ได้ เพราะหากแยกกันทำจะไม่สำเร็จ จึงเข้าไปคุยกับ Cryptomind ซึ่งเป็นบริษัทที่มี Land อยู่ในมือ และ นิมิต สตูดิโอ ที่เป็น Official Global Studio ของ The Sandbox จากนั้นก็นำไอเดียไปคุยกับ Fairtex ซึ่งเป็นบริษัทเดียวที่สามารถเชื่อมต่อวัฒนธรรมมวยไทยระหว่างโลก Metaverse กับโลกจริง จนเกิดเป็น Co-creation ระดับโลกบน Metaverse
“เรามีเป้าหมายจะ Win the World for Thailand ผ่านการนำวัฒนธรรมของไทยขึ้นไปชนะบนโลก Metaverse” คุณสาลวิท กล่าว
ด้าน สัญชัย ปอปลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คริปโตมายด์ แอดไวเซอรี่ จำกัด หนึ่งในพาร์ทเนอร์โปรเจกต์ Fight for the Future กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า จุดแข็งของ Cryptomind คือการเป็นตัวเชื่อมให้ธุรกิจเข้าถึงนวัตกรรม เชี่ยวชาญในด้าน Digital Token และ Cryptocurrency และการนำคนเข้ามาอยู่ในโลก Metaverse อย่างไร้รอยต่อ การได้ร่วมมือกับสยามพิวรรธน์ ในครั้งนี้เป็นการเปิดพื้นที่ Offline Experience ผ่านการนำพื้นที่ใน The Sandbox ที่อยู่บนโลก Metaverse มาสร้างมูลค่าบนโลกจริง โดย นิมิต สตูดิโอ รับหน้าที่ออกแบบและสร้าง Gamification เป็น Digital Nation ใน Metaverse
“NFT และ Metaverse อาจจะดูเป็นเรื่องจับต้องยาก เราอยากแสดงให้ทุกคนเห็นว่าโลก Metaverse มันมีมูลค่าจริง และนำสิทธิประโยชน์มาใช้ในโลกจริงได้ ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่าในอนาคต การแสดง Membership อาจจะเปลี่ยนเป็นรูปแบบของ NFT ก็ได้” คุณสัญชัย กล่าวเสริม
คุณสาลวิท กล่าวว่า “เราเชื่อว่า Retail จะรอดต่อไปได้ เราต้อง Embed e-Commerce และ Metaverse เข้าไป ต้องสร้างประสบการณ์เพื่อให้คนอยากมาเดิน”
ถึงแม้ว่า Metaverse จะใหม่มาก คนส่วนมากไม่รู้ว่าจะร่วมสนุกอย่างไร คนยังสงสัยว่าจะต้องซื้อ Land หรือไม่ ซึ่ง คุณสาลวิท มองว่า การจะเข้ามาในโลกนี้จะต้องรู้วัตถุประสงค์ของตนเอง สยามพิวรรธน์มีเป้าหมายจะ Win the World for Thailand โดยจะเข้าไปทุก Metaverse ที่ลูกค้าอยู่ สำหรับโปรเจกต์ Future Lab ครั้งที่ 3 หรือ Fight for the Future ที่เลือกเกมมาเป็นสื่อกลางเพราะมองว่าคนรุ่นใหม่เล่นเกม ซึ่ง Metaverse เป็นเพียงเครื่องมือที่เข้ามาเติมเต็มประสบการณ์ แต่สิ่งสำคัญคือจะต้องทำด้วย Purpose
“เรามองว่าคนเข้าใจ Metaverse เท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าเขาอยากจะเข้าใจหรือไม่ แต่สุดท้ายคนจะต้องรู้จัก Metaverse ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีจะพร้อมจริงๆ อาจจะต้องใช้เวลาอีกหลายปี แต่ตอนนี้มันเป็นเหมือนเศษเสี้ยวหนึ่งของสิ่งที่มันกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต”
คุณสาลวิท กล่าวต่อว่า ปัจจุบันสยามพิวรรธน์มี Roadmap ของ Metaverse ชัดเจน และมองหาพาร์ทเนอร์ที่จะเข้ามาร่วมด้วย อยากให้เกิดการสร้างงานและสร้างประสบการณ์ ใหม่ๆ กับคนไทย ให้รู้ว่าคนไทยสร้างโปรเจกต์ระดับโลกได้ และเชื่อว่าสิ่งที่สยามพิวรรธน์ทำจะเป็น Case Study ที่สร้างมาตรฐานระดับโลกโดยคนไทย เช่น นิมิต สตูดิโอ ที่เป็น Official Partner กับ The Sandbox เป็นทีมที่น่าสนใจ ทำงานออกมาได้สวยงาม การได้ร่วมงานกันคือการสร้างคอมมูนิตี้ใหม่
“เราอยากจะสนับสนุนบริษัทคนไทย ให้มาเทียบเท่ากับระดับโลก เราเชื่อในพลังของคนรุ่นใหม่ เป้าหมายของเราคือการพัฒนาผู้ค้าไปพร้อมกับเรา เป็น Win all Solution คือ ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ ทั้งเรา พาร์ทเนอร์ และลูกค้า เราเชื่อว่าอนาคตคือการ Co-Creation หรือการสร้าง Ecosystem ขึ้นมาใหม่ในแต่ละโปรเจกต์ เพราะไม่มีใครสามารถทำคนเดียวได้ ขณะเดียวกันเราสามารถส่งเสริมพาร์ทเนอร์ให้เป็น Global Brand ผ่านแคมเปญที่ร่วมมือกับเราได้” คุณสาลวิท กล่าวปิดท้าย
สามารถร่วมสนุกกับงาน “Fight for the Future” ได้ที่ สยามดิสคัฟเวอรี่ ตั้งแต่วันนี้ - 31 สิงหาคม 2565
บทความนี้เป็น Advertorial
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด