ปัจจุบัน "พลังงานสะอาด" ถือเป็นปัจจัยสำคัญ และจัดเป็นพลังงานแห่งยุคอนาคตที่จะช่วยขับเคลื่อนโลกใบนี้ให้หมุนต่อไปได้อย่างยั่งยืน จึงไม่แปลกที่พลังงานสะอาดได้กลายมาเป็นเมกะเทรนด์ของโลกที่ทุกธุรกิจต่างก็มุ่งเข้าสู่อุตสาหกรรมนี้ ในบทความนี้ Techsauce ได้ทำการรวบรวมบริษัทพลังงานในประเทศไทยที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด รวมทั้งอัพเดตแผนธุรกิจด้านเทคโนโลยี และทิศทางที่จะก้าวไปในอนาคต
บี.กริม เพาเวอร์ ดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าเพื่ออุตสาหกรรม ครอบคลุมทั้งโรงไฟฟ้าโรงไฟฟ้าผลิตพลังงานร่วม (Cogeneration) พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ พลังงานลม Hybrid และขยะ
ส่วนกำลังการผลิตปัจจุบันอยู่ที่ 2,894 เมกะวัตต์ และจะขยายสู่ 4,015 เมกะวัตต์ ในปี 2026
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2564 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,440 ล้านบาท และมีรายได้อยู่ที่ 46,628 ล้านบาท ปี 2564 เติบโต 5.8% ปริมาณไฟฟ้าที่จำหน่ายเพิ่มขึ้น 2.4% อยู่ที่ 14,794 กิกะวัตต์-ชั่วโมง
ทั้งนี้แผนการดำเนินงานในระยะถัดไป เน้นลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายในการเป็นองค์กรที่มุ่งปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ ภายในปี 2593
ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังความร้อนร่วมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงประมาณ 70% และจากพลังงานทดแทนหรือพลังงานสะอาดประมาณ 30%
รวมทั้งการทำดิจิทัล ทรานฟอร์เมชั่น อย่างการนำ Digital Twin มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าและลดการหยุดซ่อมฉุกเฉิน รวมถึงนำมาใช้วิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงปริมาณและเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด และเดินหน้าเตรียมนำเข้า LNG โครงการนำร่อง Energy Trading พร้อมทั้งจับมือพันธมิตรชั้นนำเพิ่มความแข็งแกร่งในการขยายธุรกิจ พร้อมเดินหน้าซื้อกิจการต่อเนื่อง
https://www.bgrimmpower.com/th/power-plants/overview
บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด หรือ GULF ดำเนินธุรกิจครอบคลุมธุรกิจผลิตไฟฟ้าธุรกิจก๊าซ, ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน, ธุรกิจพลังงานน้ำ และ ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค
ปัจจุบันมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 7,875 เมกะวัตต์ ในปี 2564 และในปี 2565 จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเป็น 9,422 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ผลการดำเนินงานในปี 2564 มีกำไรสุทธิ (Net Profit) 8,812 ล้านบาท (รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH จำนวน 1,093 ล้านบาท ) รายได้รวมอยู่ที่ 52,870 ล้านบาท
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในระยะถัดไป มุ่งเน้นลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งรวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศลาว โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ และโรงไฟฟ้าพลังงานลม
รวมทั้งแผนธุรกิจปี 2565 ยังเน้นขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล โดยจะเน้นลงทุนในธุรกิจที่นำเทคโนโลยีทางดิจิทัลมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจ Data Center, Cloud Computing, เทคโนโลยี Blockchain
https://www.gulf.co.th/th/business_overview.php
บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจหลักในการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า ไอน้ำ น้ำอุตสาหกรรม และสาธารณูปโภคอื่นๆ
ทั้งนี้กำลังการผลิตอยู่ที่ 5,703 เมกะวัตต์ แบ่งเป็น Renewable 26% , Natural gas 60% , Coal 14% ซึ่งมีเป้าหมายภายในปี 2566 จะมีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 7,122 เมกะวัตต์ แบ่ง Renewable จะเพิ่มเป็น 37% , Natural gas ลดลงเหลือ 48% และ Coal ลดลง 11% ที่เหลือมาจาก Pitch ราว 4%
สำหรับผลดำเนินการในปี 2564 มีรายได้รวม 74,874 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับปี 2563 ส่วนกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 7,319 ล้านบาท ลดลง 3% ส่วนปี 2565 วางเป้าเพิ่มกำลังการผลิตเพิ่มอีก 500 เมกะวัตต์(MW)
ทั้งนี้กลุ่มลูกค้าหลักคือกฟผ. หรือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย รวมไปถึงธุรกิจในภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจปิโตรเคมี
รวมทั้งแผนธุรกิจปี 2565 เน้นพัฒนาธุรกิจในด้านต่าง ๆ เช่น การเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานหมุนเวียน เพื่อตอบสนองนโยบายภาครัฐในเรื่องของพลังงานสะอาดและแผน PDP ประเทศ , เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจแบตเตอรี่ , เชื่อมโยงเรื่องของ EV Value Chain รองรับนโบายการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศ และ วางแผนการบริหารจัดการการลงทุนใน บริษัท อแวนด้า เอ็นเนอร์ยี่ ไพรม์เวท ลิมิเต็ด ประเทศอินเดีย ให้เป็นไปตามแผน และ มองหาโอกาสการลงทุนในอินเดียเพิ่มเติม รวมถึงยังคงแสวงหาโอกาสในการลงทุนในประเทศเป้าหมาย เช่น ไต้หวัน และ เวียดนาม
บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO ผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงหลากหลายประเภท ทั้งก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน ชีวมวล พลังงานน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานความร้อนใต้พิภพ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการเสริมสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงาน
ทั้งนี้กำลังการผลิตปัจจุบันอยู่ที่ 5,959 เมกะวัตต์ (ไม่นับรวมการลงทุนในเอเพ็กซ์ฯ) โดยเป็นโครงการที่ COD แล้วจำนวน 5,656 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการก่อสร้าง 303 เมกะวัตต์ โดยบริษัทวางเป้ากำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่ปี 65 เพิ่มขึ้นมากกว่า 1,000 เมกะวัตต์(MW)
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2564 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 4,104 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทมีรายได้รวมจากการดำเนินงาน 42,093 ล้านบาท
ขณะที่แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2565 กางแผน 5 ปี ทุ่มงบลงทุน 150,000 ล้านบาท ลุยธุรกิจโรงไฟฟ้า นิคมฯ ระยอง และธุรกิจ Innovation พร้อมมุ่งต่อยอดความสำเร็จในธุรกิจไฟฟ้า โดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาด เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
รวมทั้งเข้าลงทุนโครงการใหม่ๆที่อยู่ระหว่างเจราจรเพื่อควบรวมหรือเข้าซื้อกิจการ (M&A) และพัฒนาโครงการในกลุ่มประเทศเป้าหมาย เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ลาว ออสเตรเลีย เกาหลี ไต้หวัน และอเมริกา
ในขณะเดียวกัน จะขยายการลงทุนไปสู่ธุรกิจพลังงานที่เกี่ยวเนื่อง ได้แก่ ธุรกิจเชื้อเพลิงและสาธารณูปโภค รวมทั้งการต่อยอดธุรกิจหลักด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีพลังงานในรูปแบบ Smart Energy Solution เพื่อให้สอดรับกับทิศทางในการดำเนินธุรกิจ Cleaner, Smarter and Stronger to Drive Sustainable Growth ด้วยการมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 93 และเป้าหมายลดการปล่อยปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อหน่วยไฟฟ้าที่ผลิตได้ 10% ภายในปี 73
บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนชั้นนำของประเทศไทยที่มุ่งมั่นสู่การเป็นบริษัทชั้นนำด้านพลังงาน และระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัทฯ ในปี 2564 เพิ่มขึ้น 1,212 เมกะวัตต์ จากการลงทุนใหม่ 4 โครงการ ซึ่ง 3 โครงการเป็นกิจการที่ดำเนินงานแล้ว และโครงการประเภทกรีนฟิลด์ 1 โครงการ ส่งผลให้กำลังการผลิตรวมเป็น 9,115.04 เมกะวัตต์ โดยเป็นกำลังการผลิตภายในประเทศไทย ร้อยละ 59 และในต่างประเทศร้อยละ 41 และมีเป้าหมายจะเพิ่มกำลังการผลิตในระยะยาวเป็น 10,000MWe ภายในปี 2568
ขณะที่ผลการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ในปี 2564 มีกำไรสุทธิจำนวน 7,772.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.6% จากจำนวน 1,485.34 ล้านบาท เมื่อเทียบจากปี 2563 สาเหตุหลักมาจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการร่วมค้าและบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น ส่วนรายได้รวมปี 2564 อยู่ที่ 44,293.29 ล้านบาท
โดยบริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทในเครือของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จัดตั้งขึ้นเพื่อประกอบธุรกิจในลักษณะการถือหุ้นในบริษัทอื่นเพื่อลงทุนในบริษัทย่อย การร่วมค้า และเงินลงทุนอื่น ๆ ที่ดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง โดย กฟผ. มีสัดส่วนการถือหุ้นอยู่ที่ร้อยละ 45 และมีลูกค้าหลักคือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
ทั้งนี้ในปี 2565 บริษัทฯ ตั้งงบลงทุน 30,000 ล้านบาท โดยเป็นเงินลงทุนเพื่อขยายธุรกิจผลิตไฟฟ้า 28,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการใหม่ 26,500 ล้านบาท และโครงการเดิม 1,500 ล้านบาท ส่วนงบลงทุนในธุรกิจอื่นนอก ภาคการผลิตไฟฟ้า เป็นจำนวนเงิน 2,000 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการใหม่ 1,400 ล้านบาท และโครงการเดิม 600 ล้านบาท
และกำหนดกลยุทธ์ 3-G (Growth, Green, Generate Strategy) เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดย G-1 มุ่งเน้นแสวงหาโอกาสเติบโตเพื่อต่อยอดและสร้างมูลค่ากิจการเพิ่มในอนาคต G-2 สนับสนุนพลังงานทดแทน และยกระดับการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาลตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน และ G-3 เน้นเพิ่มขีดความสามารถและประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าและความเป็นเลิศขององค์กร รวมทั้งดำเนินการในโครงการโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ โครงสร้างพื้นฐานและธุรกิจเกี่ยวเนื่องทั้งในประเทศและต่างประเทศ
และมีเป้าหมายเพิ่มการลงทุนกำลังการผลิตจากพลังงานทดแทนปีละ 250 เมกะวัตต์ และจะต้องเพิ่มขึ้นให้ถึง 2,500 เมกะวัตต์ในปี 2568 และ 4,000 เมกะวัตต์ในปี 2578 ซึ่งคาดว่าจะสามารถลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 4 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และ 10 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ตามลำดับ กอปรกับแผนการปลูกและอนุรักษ์ป่าไม้ ที่จะดำเนินการตั้งแต่ปี 2565-2577 พื้นที่รวม 50,000 ไร่ ซึ่งคาดว่าจะช่วยดูดกลับก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 670,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
https://www.ratch.co.th/th/home
บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP เป็นผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าชั้นนำในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
ปัจจุบันที่มีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 3,100 เมกะวัตต์ แบ่งเป็น HELE & Thermal power จำนวน 2,860 เมกะวัตต์ และ Renewable 264 เมกะวัตต์ และเป้าหมายกำลังการผลิตไฟฟ้า 5,300 เมกะวัตต์ ภายในปี 2568
สำหรับผลประกอบการกำไรสุทธิ ปี 2564 ประมาณ 3,127.02 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันปี 63 ที่มีกำไรสุทธิ 3,702.48 ล้านบาท ลดลง 15.53% ส่วนรายได้รวม 6,784 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23%
ขณะที่แผนดำเนินการปี 2565 มุ่งสร้างการเติบโตทั้งโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (HELE & Thermal power) และพลังงานสะอาด (Renewable) ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด โดยมีเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตในปีนี้อีกราว 500-700 เมกะวัตต์ โดยแหล่งเงินลงทุนส่วนหนึ่งจะมาจากการขายโรงไฟฟ้า Sunseap ในสิงคโปร์
ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานเชื้อเพลิงทั่วไปที่ใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (High Efficiency, Low Emissions : HELE) ในตลาดหสรัฐอเมริกา รวมถึงโครงการที่เป็นพลังงานหมุนเวียน (Renewable) อยู่หลายโครงการ โดยเฉพาะในตลาดที่บริษัทมีการเข้าไปลงทุนอยู่แล้ว เช่น ประเทศจีน ญี่ปุ่น เวียดนาม และออสเตรเลีย ซึ่งเป็นตลาดที่มีความต้องการความมั่นคงทางพลังงานสูง และภาครัฐให้การสนับสนุนทางด้านพลังงาน
รวมทั้งเข้าลงทุนใน Solar Esco Joint Stock ผู้นำในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในประเทศเวียดนาม มูลค่าลงทุน 466 ลบ. โดยให้บริการในการวางแผนพัฒนา ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา และให้บริการด้านวิศวกรรม จัดหา และก่อสร้าง รวมทั้งให้บริการบำรุงรักษา
ขณะเดียวกัน BPP มีการลงทุนกว่า 788 ล้านบาท ต่อยอดโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มแห่งแรกในเวียดนาม กำลังผลิต 50 เมกะวัตต์
สำหรับทิศทางนับจากปี 2565 นี้ คือ เดินหน้าสร้างการเติบโตตามกลยุทธ์ Greener & Smarter ใน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ กลุ่มธุรกิจแหล่งพลังงาน กลุ่มธุรกิจผลิตพลังงาน และกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน เพื่อเร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านไปสู่พอร์ตพลังงานที่สะอาดขึ้นและเทคโนโลยีพลังงานที่สอดคล้องกับเทรนด์พลังงานในอนาคตได้รวดเร็วและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น
https://www.banpupower.com/?lang=th
บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทพลังงานสะอาด ที่ประสบความสำเร็จจากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน “แสงแดดและสายลม” และส่วนใหญ่ขยายการลงทุนในธุรกิจพลังงาน ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า ธุรกิจแบตเตอรี่
ปัจจุบัน EA มีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งหมด 4 โครงการ รวมกำลังผลิตปัจจุบันอยู่ที่ 278 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังงานลม 8 โครงการ รวมกำลังผลิต 386 เมกะวัตต์
ผลการดำเนินงานในปี 2564 มีกำไรสุทธิ จำนวน 6,100.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 895.50 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 17.21 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิรวม 5,204.57 ล้านบาท ส่วนรายได้รวม 20,558.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 3,358.96 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.53 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 17,199.14 ล้านบาท
สำหรับแผนธุรกิจปี 2565 บริษัทวางเป้าหมายสร้างการเติบโตใน “ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า” เพิ่มสัดส่วนรายได้ของธุรกิจอีวีเพิ่มขึ้นมา 25-30% จากปัจจุบันสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 5% ตั้งเป้าผลิตออเดอร์รถยนต์ไฟฟ้าพุ่งแตะ 3,000 คัน ทั้งวางงบลงทุนปีนี้ 5,500 ล้านบาท ส่งมอบมินิบัสลูกค้า 300-400 คัน และตั้งเป้ารายได้รวมเติบโตไม่ต่ำกว่า 20%
นอกจากนี้บริษัทเตรียมจัดตั้ง บริษัท ศูนย์ทดสอบแบตเตอรี่ ยานยนต์ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ จำกัด หรือ BEV เพื่อใช้ในการวิจัยและพัฒนา ตลอดจนให้บริการทดสอบและรับรองคุณภาพของแบตเตอรี่ รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ ของยานยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
https://www.energyabsolute.co.th
บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) (GUNKUL) ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน
ปัจจุบันมีกำลังการผลิตในมือรวมทั้งสิ้น 642 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ประเทศไทย เวียดนาม มาเลเซีย และญี่ปุ่น
ผลการดำเนินงานในปี 2564 มีกำไรสุทธิ 2,229.27 ล้านบาท หรือ 2.25 บาทต่อหุ้น ลดลง 31.43% เหตุไม่มีรายการพิเศษ ส่วนรายได้รวม 9,868.13 ล้านบาท ลดลง 1,106.41 ล้านบาท หรือลดลง 10.08% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 10,974.54 ล้านบาท
สำหรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจในปี 2565 กลุ่มบริษัทยังคงเร่งผลักดันการเติบโตธุรกิจทุกภาคส่วน โดยธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ซึ่งคิดเป็น 60% ของยอดขายทั้งหมด พร้อมกับตั้งเป้าหมายกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 700 เมกะวัตต์ และเพิ่มกำลังการผลิตไปแตะระดับ 1,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2566
ส่วนธุรกิจงานรับเหมาก่อสร้างและวางระบบทางด้านวิศวกรรม (EPC) มีแผนเตรียมเข้าร่วมประมูลโครงการใหม่ๆ ที่จะเปิดให้ประมูลกว่า 50,000 ล้านบาท และคาดว่าบริษัทมีโอกาสได้รับงานประมาณ 7-10% ของมูลค่างานทั้งหมด โดยปัจจุบันมีงานในมือ(Backlog) ประมาณ 4,500 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในอีก 1-3 ปีข้างหน้า พร้อมกันนี้ยังมีแผนจะนำ บริษัท กันกุล พาวเวอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (GPD) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ GUNKUL และถือหุ้นใน บริษัท ฟิวเจอร์ อีเล็คทริคอล คอนโทรล จำกัด (FEC) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภาย ไตรมาส 1 ปี 2566
ขณะที่ธุรกิจกัญชง-กัญชา การเพาะปลูกและโรงสกัดยังดำเนินการได้ตามแผน ซึ่งประมาณต้นเดือนเมษายนนี้ บริษัทจะเตรียมเปิดคลินิกแพทย์แผนไทยเพื่อให้บริการลูกค้า และจำหน่ายผลิตภัณฑ์กัญชง กัญชาปลายน้ำ ครบวงจร
บริษัท แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ACE ผู้ผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรายใหญ่ของประเทศ และเป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาดของไทย ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำ และธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด แบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ โรงไฟฟ้าชีวมวล, โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ, โรงไฟฟ้าขยะชุมชน และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
บริษัทฯมีโครงการโรงไฟฟ้าในมือรวมทั้งหมด 56 โครงการ ทำให้ปัจจุบันมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 528.37 เมกะวัตต์
ขณะที่ผลการดำเนินงานปี 2564 กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,505.7 ล้านบาท ส่วนรายได้อยู่ที่ 5,726.9 ล้านบาท โต 14.8% จากปี 2563 ซึ่งทำได้ 4,987.6 ล้านบาท
สำหรับแผนดำเนินงานในปี 2565 จะเร่งเพิ่มเมกะวัตต์สร้างรายได้ รวมทั้งจะยังคงเดินหน้าสานต่อกลยุทธ์ธุรกิจเพื่อขยายการเติบโตต่อเนื่อง มีโอกาสที่อาจจะเกิดดีลซื้อโรงไฟฟ้าใหม่ๆ ที่ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาและการเจรจาต่อรอง ส่วนการที่ภาครัฐมีแผนจะเปิดประมูลโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเฟส 2 และโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชน 400 เมกะวัตต์ ก็พร้อมเต็มที่ในการเข้าร่วมประมูล เพราะมีศักยภาพความพร้อมครบทุกด้าน ทั้งด้านที่ดิน ด้านเทคโนโลยี ด้านแหล่งเชื้อเพลิง และด้านเงินทุน
โดยในส่วนของโรงไฟฟ้าขยะนอกเหนือจากโรงไฟฟ้าขยะชุมชนที่ ACE มีการดำเนินการอยู่แล้วนั้น โรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรมก็เป็นอีกหนึ่งประเภทโรงไฟฟ้าที่ ACE มีความพร้อมและมีความสนใจที่จะเข้าร่วมประมูลด้วยเช่นกัน
ขณะเดียวกันก็เร่งมองหา New S-Curve เข้ามาต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่ม เสริมความมั่นคงทางธุรกิจ อาทิ คาร์บอนเครดิต และ ใบรับรองเครดิตการผลิตพลังงานหมุนเวียน ในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Ecosystem ของธุรกิจพลังงานสีเขียว ช่วยย้ำจุดยืนในการมุ่งสู่ “ต้นแบบผู้นำด้านธุรกิจพลังงานสะอาดของโลก”
https://www.ace-energy.co.th/th
บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จํากัด (มหาชน) (“บริษัทฯ”) ผู้นำด้านธุรกิจโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ และการผลิตพลังงานทดแทนที่ใหญ่ที่สุด
กำลังการผลิตปัจจุบันอยู่ที่ 440 เมกะวัตต์ ตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิต 526 เมกกะวัตต์ ภายในปี 2567 ขณะที่ผลประกอบการ สําหรับปี 2564 มีกําไรจํานวน 4,191 ล้านบาท (หรือกําไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานเท่ากับ 0.499 บาท) ลดลงร้อยละ 6.98 เมื่อเทียบกับกําไรจํานวน 4,506 ล้านบาท (หรือกําไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานเท่ากับ 0.536 บาท) ใน ปี 2563
และมีรายได้จากการขายไฟฟ้าและสินค้า รวมทั้งรายได้ส่วนเพิ่มราคารับซื้อ ไฟฟ้า จํานวน 11,074 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 0.41 จากจํานวน 11,119 ล้านบาท ในปี 2563 เนื่องจากปริมาณไฟฟ้าที่ ขายลดลง โดยในปี 2564 บริษัทฯและบริษัทย่อย มีรายได้รวม 11,358 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 0.75 จากจํานวน 11,444 ล้านบาท ในปี 2563
ซึ่งคาดว่าผลประกอบการปี 65 ยังคงดีต่อเนื่อง รับแรงหนุนขึ้นค่า FT เพิ่มขึ้น 4.63% ช่วงเดือน ม.ค. - เม.ย. พร้อมเดินหน้าโรงงานไฟฟ้าพลังงานสีเขียว 100%
สำหรับแผนดำเนินการปี 2565 คาดว่าจะสามารถลดการใช้ถ่านหินได้ 970 ตันต่อวัน โดยปัจจัยดังกล่าวจะทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้น และจากรายได้ Carbon Credit ซึ่งจะสามารถชดเชยค่า Adder ของโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ ที่จะทยอยหมดอายุในปีนี้
ปัจจุบันบริษัทเป็นบริษัทที่มี Net Zero Carbon Emission และมี Carbon Credit ที่จะขายได้ประมาณ 6.61 ล้านตันต่อปี จากการใช้ขยะในการผลิตไฟฟ้า
นอกจากนี้ บริษัทได้เดินหน้าเปลี่ยนแปลงโรงไฟฟ้าถ่านหิน 220 เมกะวัตต์ ในปัจจุบันให้เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานสีเขียว 100% โดยจะใช้เชื้อเพลิงขยะแทนเชื้อเพลิงถ่านหิน 100% ได้ในปี 2569 นี้ ส่งผลให้บริษัทจะมี Net Zero Carbon Emission และมี Carbon Credit ที่จะขายได้ประมาณ 12.45 ล้านตันต่อปี ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป และบริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมเพื่อขาย Carbon Credit ดังกล่าว ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีกำไรสูงขึ้นในอนาคต
รวมทั้งบริษัทฯ ได้ดำเนินธุรกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน ตามนโยบาย ธรรมาภิบาล สิ่งแวดล้อม สังคมและองค์กร (ESG) โดยเล็งเห็นความสำคัญในการลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์อันเป็นการลดภาวะโลกร้อน และได้ดำเนินธุรกิจสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐ ตอกย้ำศักยภาพบริษัทผู้นำอันดับหนึ่งโรงไฟฟ้าพลังงานสีเขียวที่ช่วยกำจัดขยะให้ประเทศ (Green & Clean Energy)
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด