ผ่านไปแล้วครึ่งปีสำหรับปี 2565 ช่วงเวลานี้คือการประกาศผลประกอบการงวดครึ่งปีแรก และไตรมาส 2 แน่นอนว่ากลุ่มแรกที่ต้องออกมาโชว์ผลงานก่อนใครก็คงหนีไม่พ้น กลุ่มธนาคารพาณิชย์นั่นเอง วันนี้ Techsauce จึงขอรวบรวมผลประกอบการของ 7 ธนาคารใหญ่ว่าจะเป็นอย่างไรกันบ้าง
ผลการดำเนินงานสำหรับงวดแรกปี 2565 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดแรกปี 2564 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 22,005 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนจำนวน 2,484 ล้านบาท หรือ 12.72% หลัก ๆ เกิดจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 5,913 ล้านบาท หรือ 10.22% จากรายได้ดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อซึ่งเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของเงินให้สินเชื่อใหม่ตามยุทธศาสตร์ของธนาคาร และการให้สินเชื่อเพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าดำเนินธุรกิจได้ตามปกติสอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจจากการผ่อนคลายมาตรการทั้งในและต่างประเทศ ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงจำนวน 4,671 ล้านบาท หรือ 20.28%
ส่วนใหญ่เกิดจากการปรับมูลค่ายุติธรรม (Mark to market) ตามภาวะตลาดของสินทรัพย์ทางการเงินซึ่งเป็นการลงทุนตามธุรกิจปกติของบริษัทย่อย รวมทั้งรายได้สุทธิจากการรับประกันภัย และค่าธรรมเนียมรับจากการจัดการกองทุนที่ลดลง สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ เพิ่มขึ้นจำนวน 1,860 ล้านบาท หรือ 5.53% หลัก ๆ จากค่าใช้จ่ายทางการตลาด และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน นอกจากนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss : ECL) ในระดับที่ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยยังคงใช้หลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่องในการพิจารณาปัจจัยเชิงเศรษฐกิจต่าง ๆ อย่างรอบคอบ
ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 2565 จำนวน 10,794 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.36% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และลดลงจากไตรมาสก่อน 417 ล้านบาท หรือ 3.72% โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 261 ล้านบาท หรือ 0.82% ส่วนใหญ่จากรายได้ดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อซึ่งเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ ทำให้อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net interest margin : NIM) อยู่ที่ระดับ 3.21%
นอกจากนี้ รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจำนวน 637 ล้านบาท หรือ 7.17% ส่วนใหญ่เกิดจากรายได้สุทธิจากการรับประกันภัยที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่การปรับมูลค่ายุติธรรม (Mark to market) ของสินทรัพย์ทางการเงิน ค่าธรรมเนียมรับจากการจัดการกองทุน และค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลงตามภาวะตลาด สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ เพิ่มขึ้นจำนวน 680 ล้านบาท หรือ 3.90% หลัก ๆ จากค่าใช้จ่ายทางการตลาด และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาคาร สถานที่และอุปกรณ์
ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) ในไตรมาสนี้อยู่ที่ระดับ 43.53% นอกจากนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss : ECL) เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนจำนวน 516 ล้านบาท หรือ 5.53% สอดคล้องกับการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ และปัจจัยเชิงเศรษฐกิจต่าง ๆ
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 4,187,779 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2564 จำนวน 84,380 ล้านบาท หรือ 2.06% ส่วนใหญ่เป็นการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ สำหรับเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (%NPL gross) ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 อยู่ที่ระดับ 3.80% โดยธนาคารได้เริ่มดำเนินการเชิงรุกผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อยกระดับการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพให้ดียิ่งขึ้น
และยังมีเป้าหมายเพื่อช่วยคืนลูกหนี้ที่มีสถานะทางการเงินที่ดีสามารถกลับเข้าสู่ระบบสถาบันการเงินได้ในอนาคต สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิกรไทยตามหลักเกณฑ์ Basel III ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 อยู่ที่ 18.37% โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ 16.39%
บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) มีกำไรสุทธิในไตรมาส 2 ของปี 2565 จำนวน 10,051 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักสำรองมีจำนวน 22,764 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 7.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลของการขยายตัวของฐานรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ สำหรับครึ่งปีแรกของปี 2565 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิจำนวน 20,095 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ในไตรมาส 2 ของปี 2565 รายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 26,068 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้และการมุ่งเน้นการเติบโตของสินเชื่อที่มีคุณภาพด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม
รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจำนวน 12,634 ล้านบาท ลดลง 2.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงผลกระทบของสภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยต่อธุรกิจการบริหารความมั่งคั่งและการลดลงของรายได้จากการลงทุน ทั้งนี้ รายได้จากธุรกรรมทางการเงินปรับตัวดีขึ้นภายหลังการเปิดประเทศ ส่งผลให้รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยโดยรวมลดลงเพียงเล็กน้อย
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมีจำนวน 15,938 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากกิจกรรมทางธุรกิจโดยรวมที่เพิ่มขึ้น แต่ที่สำคัญอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 41.2% ในไตรมาส 2 ของปี 2565
ธนาคารได้ตั้งเงินสำรองในไตรมาส 2 ของปี 2565 จำนวน 10,250 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอกและอัตราเงินเฟ้อระดับสูง
อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2565 อยู่ที่ 3.58% ปรับตัวลดลงจาก 3.70% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565 ในขณะที่อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพยังอยู่ในระดับสูงที่ 153.3% (เพิ่มขึ้นจาก 143.9% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2565) และเงินกองทุนตามกฎหมายยังคงอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 18.7%
ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) รายงานผลประกอบการครึ่งแรกของปี 65 กำไรสุทธิจากการดำเนินงานตามปกติในช่วงครึ่งแรกของปี 65 จำนวน 15,252 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.6% หรือจำนวน 2,390 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 64 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการลดลงของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ
หากรวมรายการพิเศษจากการบันทึกกำไรจากเงินลงทุนจากการขายหุ้นของ บมจ.เงินติดล้อ (TIDLOR) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 กำไรสุทธิลดลง 27.5% หรือจำนวน 5,796 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 2565 อยู่ที่ 7,834 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 416 ล้านบาท หรือ +5.6% จากไตรมาก่อน และลดลง 6,709 ล้านบาท หรือ -46.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการลดลงของกำไรในการดำเนินงาน และบันทึกกำไรพิเศษจากเงินลงทุนขายหุ้นเงินติดล้อในปีก่อนหน้า ขณะเดียวกันมีการปรับตัวดีขึ้นของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
ขณะที่เงินให้สินเชื่อรวม เพิ่มขึ้น 3.1% หรือจำนวน 58,344 ล้านบาท จากสิ้นปี 64 จากการเติบโตของสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดใหญ่ และสินเชื่อเพื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ 5.0% และ 5.2% ตามลำดับ โดยเป็นผลมาจากความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้น และการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของอุปสงค์ภายในประเทศ
ส่วนเงินรับฝาก เพิ่มขึ้น 2.2% หรือจำนวน 39,873 ล้านบาท จากสิ้นปี 64 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการเติบโตของเงินรับฝากประเภทออมทรัพย์
ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 3.36% จาก 3.08% ในช่วงครึ่งแรกของปี 64 โดยเป็นผลมาจากการเติบโตของเงินให้สินเชื่อและการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินเชิงรุก โดยเฉพาะกลยุทธ์การระดมเงินรับฝากประเภทออมทรัพย์และจ่ายคืนเมื่อทวงถาม (CASA)
รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจากการดำเนินงานตามปกติ ลดลงจำนวน 616 ล้านบาท หรือ 3.6% เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 64 หากรวมรายการพิเศษจากการบันทึกกำไรจากเงินลงทุนจากการขายหุ้นของเงินติดล้อในปีก่อนหน้า รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงจำนวน 11,343 ล้านบาท หรือ 40.8%
ทั้งนี้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ จากการดำเนินงานตามปกติปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 42.9% จาก 43.4% ในครึ่งแรกของปี 64 หากไม่รวมรายการพิเศษจากการบันทึกกำไรจากเงินลงทุนจากการขายหุ้นของเงินติดล้อ
ในส่วนของอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Ratio) ปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 2.11% เมื่อเทียบกับ 2.20% ณ สิ้นปี 64
อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ ปรับตัวดีขึ้นอยู่ในระดับสูงที่ 189.2% จาก 184.2% ณ สิ้นปี 64 จากนโยบายการตั้งสำรองด้วยความรอบคอบระมัดระวังของกรุงศรีที่ยึดถือแนวปฏิบัติการตั้งเงินสำรองรวมในระดับสูง และอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (ของธนาคาร) อยู่ที่ 17.59% เทียบกับ 18.53% ณ สิ้นปี 64
ณ วันที่ 30 มิ.ย.65 BAY ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับห้าในระบบเศรษฐกิจไทยจากมูลค่าสินทรัพย์ สินเชื่อและเงินรับฝาก และเป็นหนึ่งในสถาบันการเงินที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIB) มีสินเชื่อรวม 1.95 ล้านล้านบาท เงินรับฝาก 1.82 ล้านล้านบาท และสินทรัพย์รวม 2.6 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารอยู่ที่ 292.34 พันล้านบาท หรือเทียบเท่า 17.59% ของสินทรัพย์เสี่ยง โดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นของเจ้าของคิดเป็น 12.82%
ผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคาร สำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565 มีกำไรสุทธิจำนวน 2,115.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 1,160.7 ล้านบาท หรือ 121.6% เมื่อเปรียบเทียบผลกำไรสุทธิของงวดเดียวกันปี 2564 สาเหตุหลักเกิดจากการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้นส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 7.4% และผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลงร้ 63.7% ในขณะที่รายได้จากการดำเนินงานลดลง 1.3%
ทั้งนี้ ธนาคารมีรายได้จากการดำเนินงาน สำหรับงวดหกเดือนปี 2565 มีจำนวน 7,105.7 ล้านบาท ลดลงจำนวน 94.9 ล้านบาท หรือ 1.3% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2564 เนื่องจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจำนวน 417.3 ล้านบาท หรือ 8.2% เป็นผลจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อและธุรกิจเช่าซื้อ ส่วนกำไรสุทธิไตรมาส 2 ปี 2565 อยู่ที่ 1,054.46 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.03 บาท เพิ่มขึ้น 71.94% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 613.45 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.02 บาท
ในขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 178.9 ล้านบาท หรือ 26.7% สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของ ค่าธรรมเนียมจากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกันภัย ส่วนรายได้อื่นเพิ่มขึ้นจำนวน 143.5 ล้านบาท หรือ 9.9% ส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุนและรายได้อื่น สุทธิกับการเพิ่มขึ้นของขาดทุนจากเงินลงทุน
ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสำหรับงวดหกเดือนปี 2565 เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันปี 2564 ลดลงจำนวน 229.7 ล้านบาทหรือ 7.4% เนื่องจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้น ทำให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้จากการดำเนินงานสำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565 อยู่ที่ 52.8% ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2564 อยู่ที่ 56.3%
อัตราส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Net Interest Margin – NIM) สำหรับงวดหกเดือนปี 2565 อยู่ที่ 2.8% ลดลงจากงวดเดียวกันปี 2564 อยู่ที่ 3.2% เป็นผลจากการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยจากเงินให้สินเชื่อและธุรกิจเช่าซื้อ
วันที่ 30 มิถุนายน 2565 เงินให้สินเชื่อสุทธิจากรายได้รอตัดบัญชี (รวมเงินให้สินเชื่อซึ่งค้ำประกันโดยธนาคารอื่นและเงินให้สินเชื่อแก่สถาบันการเงิน) ของกลุ่มธนาคารอยู่ที่ 220,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.9% เมื่อเทียบกับเงินให้สินเชื่อ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 กลุ่มธนาคารมีเงินฝาก (รวมตั๋วแลกเงิน หุ้นกู้ และผลิตภัณฑ์ทางการเงินบางประเภท) จำนวน 282,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.1% จากสิ้นปี 2564 ซึ่งมีจำนวน 239,500 ล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (the Modified Loan to Deposit Ratio) ของกลุ่มธนาคารลดลงเป็น 77.8% จาก 88.5% ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564
สินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPLs) อยู่ที่ 7,400 ล้านบาท อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ ต่อเงินให้สินเชื่อทั้งสิ้นอยู่ที่ 3.3% ลดลงเมื่อเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 อยู่ที่ 3.7% สาเหตุหลักจากการขายสินเชื่อด้อยคุณภาพในงวดหกเดือนปี 2565 การบริหารจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ การปรับปรุงการบริหารคุณภาพสินทรัพย์และกระบวนการในการเก็บหนี้
อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 อยู่ที่ 114.3% ลดลงจากสิ้นปี 2564 ซึ่งอยู่ที่ 117.5% ค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของกลุ่มธนาคารอยู่ที่จำนวน 7,700 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินสำรองส่วนเกินตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทยจำนวน 1,500 ล้านบาท
ด้านเงินกองทุนรวมของกลุ่มธนาคาร ณ สิ้นวันที่ 30 มิถุนายน 2565 มีจำนวน 53.8 พันล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยง 21.6% โดยเป็นอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ 15.7%
ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB รายงานผลดำเนินงานไตรมาส 2/65 มีกำไรสุทธิ 3,438.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,534.10 ล้านบาท ยังคงมีแนวโน้มเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง จากรายได้ที่ปรับตัวดีขึ้น และคุณภาพสินทรัพย์ที่อยู่ในเกณฑ์ควบคุมได้ภายใต้การบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวด และความมีวินัยด้านค่าใช้จ่าย
ธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 12,414 ล้านบาท ค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) แต่ลดลง 2.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และมีรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยจำนวน 3,475 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิโดยมีราย
ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ย (NIM)อยู่ที่ 2.83% ลดลง 8 bps จาก 2.91% ในไตรมาส 1/65 และ 15 bps จาก 2.98% ในไตรมาส 2/64 ปัจจัยหลักมาจากอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ลดลง เนื่องจากธนาคารนำสภาพคล่องส่วนเกินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนต่ำชั่วคราว ก่อนที่จะปรับไปยังสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าอย่างรอบคอบ ขณะที่ต้นทุนทางการเงินปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้ าจากการเติบโตของเงินฝากสอดคล้องกับกลยุทธ์ในการปรับโครงสร้างต้นทุนทางการเงินให้เหมาะสมเพื่อสร้างฐานเงินทุนระยะยาวในภาวะแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น
ในไตรมาส 2/65 อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้อยู่ที่ 45% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 44% ในไตรมาส 1/65 มาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายพนักงานของ ttb consumer และค่าใช้จ่ายทางการตลาดและค่าใช้จ่ายซอฟต์แวร์จากการเปิ ดตัว ttb touch เวอร์ชั่นใหม่ ตามแผนการลงทุนด้านดิจิทัล
ในไตรมาสนี้ ธนาคารตั้งสำรองฯ จำนวน 4,382 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อที่ 127 เบสิสพอยท์ ซึ่งลดลง 20.2% จากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน
ส่วนงวด 6 เดือนแรก มีกำไรสุทธิ 6,633.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.80% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 5,316.06 ล้านบาท โดยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 3.2% จากช่วงเดียวกันของปี ก่อน อยู่ที่ 24,823 ล้านบาท มีรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง 9.5% YoY อยู่ที่6,840 ล้านบาทใน ปัจจัยหลักมาจากการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิและกำไรสุทธิจากเงินลงทุน
สำหรับรอบ 6 เดือน อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้อยู่ที่ 45% ลดลงจาก 47% ในช่วงเวลาเดียวกันปีก่อนหน้า การรับรู้ประโยชน์ด้านต้นทุนช่วยคงระดับอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ให้อยู่ในกรอบเป้ าหมายท่ามกลางแรงกดดันด้านรายได้และค่าใช้จ่ายพนักงานที่สูงขึ้นของ ttb consumer อย่างไรก็ดี อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ในปี 65 คาดว่าจะอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 45-47% แม้ว่าจะมีแผนการลงทุนด้านดิจิทัล
การตั้งสำรองเพื่อรองรับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) อยู่ที่จำนวน 9,190 ล้านบาท ลดลง 16.2% YoY อย่างไรก็ดี สำรองฯ ของธนาคารคาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงในปี 65 ตามเป้าหมายทางการเงินแต่ต่ำกว่าปี ก่อนหน้า
ณ สิ้นเดือนมิ.ย.65 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้และดอกเบี้ยค้างรับสุทธิตามงบการเงินรวมจำนวนทั้งสิ้น 1,345 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.1% จากสิ้นเดือนมี.ค.65 และ 1.6% จากสิ้นปี 64 อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL ratio) ตามงบการเงินรวมอยู่ที่ 2.63% เทียบกับ 2.73% ณ สิ้นเดือนมี.ค.65 และ 2.81% ณ สิ้นเดือน ธ.ค.64 ธนาคารดำรงเงินกองทุนในระดับแข็งแกร่งมาโดยตลอด โดยอัตราส่วนเงินกองทุนรวมต่อสินทรัพย์เสี่ยง (CAR) ตามงบการเงินรวมอยู่ที่ 19.9% และเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยง (Tier 1) และเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็ นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยง (CET 1)อยู่ที่ 15.8% และ14.8% ตามลำดับ ซึ่งเป็ นระดับที่สูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ
ธนาคารกรุงไทย หรือ KTB รายงานผลดำเนินงานไตรมาส 2/65 มีกำไรสุทธิ 8,358.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 6,011.03 ล้านบาท
ส่วนงวด 6 เดือน มีกำไรสุทธิ 17,138.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 11,589.47 ล้านบาท
โดยในช่วง 6 เดือนแรก ปี 65 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เท่ากับ 17,139 ล้านบาท เพิ่มขึ้ 48% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มีสาเหตุหลักจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ขยายตัว 4.9% จากการเติบโตของสินเชื่อที่มีคุณภาพ ทั้งสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่และสินเชื่อรายย่อย รวมถึงการบริหารต้นทุนทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนสุทธิต่อสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้ (NIM) เท่ากับ 2.50% ประกอบกับบริหารจัดการค่าใช้จ่ายได้ดี รวมถึงค่าใช้จ่ายตามฤดูกาล ค่าใช้จ่ายโดยรวมลดลง 0.7% ส่งผลให้ Cost to Income ratio เท่ากับ 41.86% ลดลงจาก 43.33% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นลดลง 31.0% แต่ยังคงรักษาระดับของ Coverage ratio ในระดับสูงที่ 174.3% เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ
สำหรับไตรมาส 2/65 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/64 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร เท่ากับ 8,358 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% มีสาเหตุหลักจากรายได้รวมที่ขยายตัวร้อยละ 2.1 ทั้งการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจากการเติบโตของสินเชื่อ และการขยายตัวของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ ประกอบกับการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในภาพรวม ส่งผลให้ Cost to Income ratio เท่ากับ 42.48% ซึ่งโดยรวมอยู่ในระดับคงที่จากไตรมาส 2/64
ธนาคารและบริษัทย่อยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 5,669 ล้านบาท ลดลง 30.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีการตั้งสำรองไว้ในระดับสูง โดยธนาคารยังยึดหลักการทำธุรกิจด้วยความระมัดระวัง เพื่อรองรับความไม่แน่นอนจากสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจจะมีผลกระทบกับคุณภาพของสินทรัพย์
ประกอบกับติดตามภาพรวมของเงินให้สินเชื่อและคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิด โดยมีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม (NPLs Ratio-Gross) 3.32% ลดลงเมื่อเทียบสิ้นปี 64 ที่เท่ากับ 3.50% และยังคงรักษาระดับของ Coverage ratio ในระดับสูงที่ 174.3% เทียบกับ 168.8% เมื่อสิ้นปี 64
เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/65 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคาร ลดลง 4.8% เนื่องจากรายได้จากการดำเนินงานอื่นลดลง ส่วนใหญ่เกิดจากการปรับมูลค่ายุติธรรม (mark to market) ของสินทรัพย์ทางการเงินในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาด ถึงแม้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิขยายตัวได้ดีจากการขยายตัวของรายได้ดอกเบี้ยของเงินให้สินเชื่อ ทั้งนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยยังคงระดับการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่ยึดหลักระมัดระวัง โดยเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสที่ผ่านมา
ธนาคาร (งบเฉพาะธนาคาร) มีเงินกองทุนชั้นที่ 1 เท่ากับ 328,287 ล้านบาท (ร้อยละ 15.98 ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยง) และเงินกองทุนทั้งสิ้นเท่ากับ 413,559 ล้านบาท ( 20.13% ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยง) ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) โดยในเดือนเม.ย. 65 ธนาคารได้ออกตราสารหนี้ด้อยสิทธิ ที่สามารถนับเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 2 จำนวน 18,080 ล้านบาท ซึ่งช่วยเพิ่มอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงให้แข็งแกร่งมากขึ้น รองรับการเติบโตในอนาคต
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL เปิดเผยผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่าผลประกอบการไตรมาส 2/65 มีกำไรสุทธิ 6,961.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.5% จากงวดเดียวกันปี 64 ที่มีกำไร 6,356.76 ล้านบาท
โดยไตรมาสนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 23,526 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.5% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณเงินให้สินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อกิจการต่างประเทศ ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง เป็นผลจากกำไรสุทธิจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุน (FVTPL) และกำไรสุทธิจากเงินลงทุน
สำหรับรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิลดลงจากธุรกิจหลักทรัพย์ ขณะที่มีรายได้ค่าธรรมเนียมจากการอำนวยสินเชื่อเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับปริมาณเงินให้สินเชื่อที่ขยายตัว ส่วนงวด 6 เดือนปี 65 มีกำไร 14,079.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากงวดเดียวกันปี 64 ที่มีกำไร 13,279.86 ล้านบาท
โดยครึ่งปีแรก 65 ธนาคารฯ มีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 13.9% จากการเพิ่มขึ้น ของปริมาณเงินให้สินเชื่อ ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิอยู่ที่ 2.18% สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลง 19.8% ส่วนใหญ่เกิดจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเครื่องมือทางการเงินซึ่งเป็นไปตามสภาวะตลาด และรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิลดลงจากธุรกิจหลักทรัพย์ ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมจาก การอำนวยสินเชื่อเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับปริมาณเงินให้สินเชื่อที่ขยายตัว
สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 2.8% จากค่าใช้จ่ายเพื่อการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่าย ต่อรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 50.4% ทั้งนี้ ธนาคารตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 14,843 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ธนาคารยังคงยึดหลักความระมัดระวังในการตั้งสำรองโดยพิจารณาถึงความผันผวนของเศรษฐกิจโลก รวมถึงผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงอยู่
ณ สิ้นเดือนมิ.ย.65 ธนาคารมีเงินให้สินเชื่อ 2,652,872 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.5% จากสิ้นปี 64 โดยส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากสินเชื่อลูกค้าธุรกิจรายใหญ่และสินเชื่อกิจการต่างสำหรับอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อรวมยังคงอยู่ ในระดับที่บริหารจัดการได้ ที่ 3.4% ทั้งนี้ จากการที่ธนาคารยึดหลักการตั้งสารองด้วยความระมัดระวังและรอบคอบมาอย่างต่อเนื่องทำให้อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตต่อเงินให้สินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 232.5%
ธนาคารมีเงินรับฝาก ณ สิ้นเดือนมิ.ย.65 จำนวน 3,147,149 ล้านบาท อยู่ในระดับใกล้เคียงกับสิ้นปี ก่อน อัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อเงินรับฝากอยู่ที่ 84.3% ขณะที่อัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธนาคารและบริษัทย่อยอยู่ 18.9% 15.4% และ 14.6% ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นต่ำ ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด