หลังจากที่ aCommerce หรือ บริษัท เอคอมเมิร์ซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้ประกาศเตรียมขาย IPO เดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย โดยได้ยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ล่าสุดก็ได้รับการอนุมัติในการเสนอขอเสนอขายหลักทรัพย์ฯจากสำนักงาน ก.ล.ต. เป็นที่เรียบร้อย เมื่อช่วงกลางเดือนพฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา โดยนับว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งของความสำเร็จของสตาร์ทอัพในการ exit ด้วยการ IPO นั่นเอง
สำหรับ aCommerce เริ่มต้นจากการเป็นสตาร์ทอัพก่อตั้งโดยคุณพอล -วีระพงษ์ ศรีวรกุล เมื่อปี 2013 โดยเปิดดำเนินการมากว่า 8 ปี ในฐานะผู้ให้บริการสนับสนุนธุรกิจ e-commerce ครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (พิจารณาจาก GMV) โดยปัจจุบันให้บริการครอบคลุมทั้งหมด 5 ประเทศด้วยกัน ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์
โดยปี 2013 ระดมทุนระดับ Seed กว่า 3.1 ล้านเหรียญ จาก CyberAgent Ventures และ NTT Docomo ต่อมาปี 2014 ได้ระดมทุนรอบ Series A กว่า 10.7 ล้านเหรียญ จากนักลงทุนรวมกว่า 9 รายด้วยกัน ได้แก่ 2 นักลงทุนรายเดินอย่าง CyberAgent Ventures และ NTT Docomo ส่วน 7 รายที่เหลือได้แก่ Ardent Capital ,Asia pacific Capital ,Sinar Mas ,Sumitomo Corporation Equity Asia ,Ideosorce VC ,Inspire venture และ JL Capital
ต่อมาในปี ต่อมาปี 2015 ได้มีการระดมทุน Venture Round 2 ครั้งด้วยกัน โดยในปีนี้เองที่ DKSH Holding ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งกับ aCommerce และในขณะเดียวกันมีการ ระดมทุนจากนักลงทุนรายเดิมกว่า 5 ล้านเหรียญด้วยกัน
และในปี 2016 ก็ได้มีการระดมทุนใน Venture Round อีกครั้งโดยได้รับเงินทุนไปกว่า 10 ล้านเหรียญ และในปี 2017 aCommerce ได้ระดมทุนในรอบ Series B กว่า 65 ล้านเหรียญ ต่อมาปี 2019 ได้ระดมทุน Series B เพิ่มอีกกว่า 10 ล้านเหรียญ โดยมีนักลงทุน ได้แก่ DKSH Holding Emerald Media KKR & Co. Inc. January Capital และ Sinar Mas
จนกระทั่งในปี 2020 ระดมทุน Series C กว่า 15 ล้านเหรียญอีกครั้งจากนักลงทุนอีกราย คือ Indies Capital Partners นักลงทุนสถาบันจากสิงคโปร์ที่เน้นลงทุนในบริษัทจำกัดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจ
(ผู้อ่านสามารถดูรายละเอียดการระดมทุนของ aCommerce ทั้งหมดได้ที่ https://startupdirectory.techsauce.co/startup/acommerce/ )
aCommerce ยื่นไฟลิ่งต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขอเสนอขายหุ้น IPO เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในหมวดธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยใช้เกณฑ์ market capitalization test เมื่อช่วงกลางเดือนธันวาคม 2021 และล่าสุดได้รับการอนุมัติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดย aCommerce ขอเสนอขายหุ้นสามัญจำนวนรวมไม่เกิน 1,599,642,100 หุ้น รวมทั้งหมดคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 35.0 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ ซึ่งประกอบด้วย
(1) หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 685,560,900 หุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 15.0 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้
(2) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยเอคอมเมิร์ซ กรุ๊ป ลิมิเต็ด จำนวนไม่เกิน 914,081,200 หุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 20.0 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้
ทั้งนี้หาก ณ วันปิดการเสนอขายหุ้นทั้งหมด จำนวน 1,599,642,100 หุ้น มีผู้จองซื้อหุ้นเป็นจำนวนมากกว่าหุ้นสามัญทั้งหมดที่เสนอขายดังกล่าว ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอาจพิจารณาให้มีการจัดสรรหุ้นส่วนเกินให้แก่ผู้ลงทุนไม่เกิน 239,946,300 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 15.0 ของจำนวนหุ้นที่เสนอขายทั้งหมดในครั้งนี้ โดยบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดหาหุ้นส่วนเกิน (Over-Allotment Agent) จะดำเนินการยืมหุ้นจาก aCommerce Group Limited จำนวนดังกล่าว เพื่อการจัดสรรหุ้นส่วนเกินดังกล่าว ทั้งนี้ จำนวนการจัดสรรจะขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย และผู้ซื้อเบื้องต้นในต่างประเทศ (Initial Purchaser) ด้วย
aCommerce เติบโตได้ในระดับที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ในฐานะเป็นผู้นำการให้บริการขับเคลื่อนอีคอมเมิร์ซอย่างครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน โดยผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาส 1/2565 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 2,591.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 1,853.7 ล้านบาท โดยสามารถบริหาร Operating EBITDA Margin ให้มีอัตราขาดทุนลดลงจากร้อยละ -2.8 สำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 เป็นร้อยละ -2.7 สำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2565 อันเป็นผลมาจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและความสามารถในการขยายขนาดทั้งในกิจกรรมทางตรงและทางอ้อม
ขณะที่ผลขาดทุนสุทธิในไตรมาส 1 ปี 2565 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญอยู่ที่ 115.9 ล้านบาท จาก 214.6 ล้านบาท เนื่องจากรายได้ของบริษัทฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง และการปรับปรุงประสิทธิภาพต้นทุนการดำเนินงานทั้งทางตรงและฝ่ายสนับสนุน การลดลงของผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน และค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจากกิจการที่เกี่ยวข้องกัน
ติดตามรายละเอียดข่าวสารของ aCommerce เพิ่มเติมได้ที่ https://techsauce.co/articles?search=aCommerce
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด