เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พนักงานเกือบ 4,000 คนตกงานเพราะปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) และเป็นครั้งแรกที่บริษัท Challenger, Grey & Christmas ระบุไว้ในรายงานประจำเดือนว่า AI คือสาเหตุของการตกงานนี้
รายงานเผย พนักงานถูกเลิกจ้างมากกว่า 80,000 คนในเดือนพฤษภาคม โดยจำนวน 3,900 คนถูกเลิกจ้างด้วยสาเหตุว่า AI เข้ามาแทนที่ ส่วนสาเหตุอื่น ๆ ของการเลิกจ้างพนักงานนั้นมีตั้งแต่ภาวะตลาดและเศรษฐกิจ การลดต้นทุน การปรับโครงสร้าง หรือการควบรวมกิจการ
จากรายงานของ Challenger พบว่ามีคนตกงานถึง 417,500 คนในช่วงระหว่างเดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคม ซึ่งนับเป็นการเริ่มต้นห้าเดือนแรกของปีที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ปี 2563 ที่เกิดโรคระบาดใหญ่จนนําไปสู่การเลิกจ้างมากกว่า 1.4 ล้านตำแหน่ง นอกจากนี้ ตั้งแต่เริ่มปี 2566 มาก็สร้างสถิติการเลิกจ้างงานครั้งใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่ปี 2552 ด้วยจำนวน 820,000 คน
โฆษกของบริษัทยืนยันกับ Insider ว่ารายงานของเดือนพฤษภาคมเป็นรายงานแรกที่ระบุว่า AI เป็นสาเหตุของการตกงาน ซึ่งล้วนเป็นงานจากสายอาชีพเทคโนโลยีทั้งสิ้น โดยเฉพาะเมื่อเทคโนโลยี AI อย่าง ChatGPT ได้รับการพัฒนามากขึ้นทุกสัปดาห์จากบริษัทต่าง ๆ เช่น Google Adobe และ Amazon
ในขณะที่ Challenger คาดการณ์ว่าวิกฤติการเลิกจ้างงานจะยังคงดําเนินต่อไป และเผยว่า บางบริษัทอาจชั่งใจที่จะเปิดเผยว่า AI เป็นปัจจัยจูงใจให้เลิกจ้างงาน และยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าสายอาชีพจํานวนมากที่ AI สร้างขึ้น จะเทียบเท่ากับจํานวนสายอาชีพที่ถูกแทนที่โดย AI
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สมาคมศึกษาโรคการกินผิดปกติ (National Eating Disorder Association) องค์กรไม่แสวงหาผลกําไรชั้นนำของสหรัฐฯ ได้กล่าวกับบริทนีย์ เหงียน (Britney Nguyen) ผู้สื่อข่าวจาก Insider ว่าได้นำ AI แชทบอทชื่อ Tessa เข้ามาใช้ทำงานแทนพนักงานสายด่วนไปไม่ต่ำกว่าหกคนเมื่อปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ทางสมาคมได้แถลงปิดการใช้งาน Tessa ชั่วครู่ เนื่องจากมีผู้ใช้รายหนึ่งรายงานมาว่า Tessa แนะนําให้เธอชั่งน้ําหนักตัวเองทุกสัปดาห์และนับแคลอรี่การกินอาหาร ซึ่งเป็นคำแนะนำที่เธอเคยทำจนเป็นโรคการกินผิดปกติ
ในเดือนพฤษภาคม บริษัทโทรคมนาคมของอังกฤษ (British telecommunications company) กล่าวในแถลงการณ์ว่าจะปลดพนักงาน 55,000 คนให้เสร็จภายในปี 2573 ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการวางแผนไว้หลายตําแหน่งแล้ว และจะเสร็จสิ้นพร้อมกับโครงการปรับโครงสร้างบริษัท
อย่างไรก็ตาม ฟิลิป เจนเซน (Philip Jansen) ประธานผู้บริหารของบริษัท บีที กรุ๊ป (BT Group) กล่าวว่า บริษัทจะแทนที่โครงการกว่า 10,000 โครงการด้วย AI ในอีก 7 ปีข้างหน้า เนื่องด้วยขณะนี้บริษัทมีแชทบอท Amy ที่สามารถตอบคําถามผู้ใช้ได้หลายคำถาม และการพัฒนานั้นจะต้องใช้เวลา
อ้างอิง : Insider
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด