เจาะลึก 3 นโยบายด้านเทคโนโลยี ของ “ดร.ชัชชาติ” ผู้ว่าฯ กทม. คนล่าสุด | Techsauce

เจาะลึก 3 นโยบายด้านเทคโนโลยี ของ “ดร.ชัชชาติ” ผู้ว่าฯ กทม. คนล่าสุด

เวทีการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร เป็นอันจบลงเป็นที่เรียบร้อย และแน่นอนว่าผู้ที่กำลังจะก้าวขึ้นเป็นผู้ว่ากรุงเทพมหานคร คนที่ 17 ในรอบ 8 ปี คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” หลังปิดหีบเลือกตั้งเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา มีคะแนนนำลิ่ว ทิ้งห่างคู่แข่งหลายเท่าตัว ส่งผลให้ชนะการเลือกตั้งทุกเขตด้วยคะแนนทุบสถิติมากถึง 1,375,978 คะแนน

และเมื่อการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานครเสร็จสิ้น บทสรุปคือกรุงเทพมหานคร ได้ “ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ในนามอิสระไม่สังกัดพรรคการเมือง มาดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าฯ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร เมื่อ ดร.ชัชชาติ ได้เปลี่ยน 200+ นโยบายเป็นแผนงานทำได้จริงทันที พร้อมกับนำเอาเทคโนโลยีมาจับกับปัญหาที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ การแก้ไขปัญหาด้านการวางผังเมืองเพื่อวางแผนในการซ่อมบำรุงโครงสร้างขั้นพื้นฐาน รวมถึงการติดตามมลภาวะและสภาพอากาศ การใช้เทคโนโลยี Cloud หรือ Open Data Source Platform เพื่อพัฒนาระบบฐานข้อมูลด้านการศึกษาในกทมฯ และการส่งเสริมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนกทม.เพื่อเพิ่มองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีที่จำเป็นในชีวิตประจำวันง่าย ๆ 

ดังนั้นในครั้งนี้ Techsauce จะพาไป “เจาะลึก 3 นโยบายด้านเทคโนโลยี ของ ดร.ชัชชาติ" ผู้สมัครผู้ว่ากรุงเทพมหานคร หมายเลข 8 ที่วันนี้ได้กลายมาเป็นผู้ว่าฯกทม. ว่านโยบายที่กล่าวไปข้างต้น “คนกรุงเทพฯ จะได้อะไร?” 

เริ่มต้นด้วย "การพัฒนาแบบจำลองเสมือนกรุงเทพฯ (Digital Twin) เพื่อใช้วางแผนและแก้ปัญหาเมือง" ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายหลักภายใต้ชื่อ "กรุงเทพฯ 9 ดี"

โดยนโยบายพัฒนาแบบจำลองเสมือนกรุงเทพฯ (Digital Twin) เพื่อใช้วางแผนและแก้ปัญหาเมือง ในที่นี้ ได้ลงลึกถึง

1. คุณภาพชีวิตของคนกรุงเทพฯ ที่ดีขึ้นจากการเตรียมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ เช่น การไหลเวียนของฝุ่น ผลกระทบจากการซ่อมแซมถนน (โดยใช้ข้อมูลจากแบบจำลองเสมือนกรุงเทพฯ ที่รวบรวมข้อมูลสาธารณูปโภคพื้นฐานทั้งหมดเข้าด้วยกัน)

 2. มีระบบฐานข้อมูลที่ช่วยในการบริหารจัดการเมือง

 3. วางแผนพัฒนากรุงเทพฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น

เพราะปัจจุบันข้อมูลพื้นฐานของ กทม. เช่น ข้อมูลสาธารณูปโภค ประปา ไฟฟ้า ถูกรวบรวมและดูแลโดยหน่วยงานรัฐต่างๆ ทั้งในและนอกกรุงเทพฯ โดยในส่วนของ กทม. ได้มีการเริ่มเก็บภาพถ่ายทางอากาศ และข้อมูลสามมิติของพื้นที่โดยเทคโนโลยี LiDAR ไปบ้างแล้วในบางพื้นที่ อย่างไรก็ดีข้อมูลเหล่านี้ยังขาดการรวบรวมและเชื่อมโยงกันทำให้ กทม.มีข้อจำกัดในการนำข้อมูลไปวิเคราะห์และทำแบบจำลองต่อ

ดังนั้นเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเมือง กทม.จึงจะต้องทำการรวบรวมข้อมูล โดยเฉพาะข้อมูลที่มีในปัจจุบัน เช่น ภาพถ่ายทางอากาศ, ข้อมูล LiDAR และโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบสาธารณูปโภคใต้ดิน ไฟฟ้า ประปา และฐานข้อมูลด้าน GEO-spatial (ข้อมูลที่ระบุตำแหน่งที่ตั้ง ซึ่งสัมพันธ์กับข้อมูลต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเมือง ทั้งด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม สังคม โครงสร้างพื้นฐาน) เพื่อนำไปใช้เป็นข้อมูลในการจำลองสถานการณ์หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นภายใน กทม.ได้ เช่น 

  1.จำลองตำแหน่งที่ตั้งอาคารที่อยู่อาศัยของประชาชนมาประกอบเป็นปัจจัยในการตัดสินใจก่อนอนุมัติการซ่อมบำรุงถนน 

 2. จำลองตำแหน่งสำหรับการขุดเจาะไม่ให้กระทบกับทางเข้า-ออกตัวอาคาร เพื่อลดผลกระทบต่อการสัญจรของประชาชนให้มากที่สุด 

นอกจากนี้การใช้ฐานข้อมูลที่ช่วยให้เกิดการบริหารจัดการเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงควรพัฒนาระบบฐานข้อมูลและการเชื่อมต่อแหล่งข้อมูลเพื่อให้เกิดฐานข้อมูลด้านนี้กับกรุงเทพมหานคร

ถัดมาคือนโยบาย "โรงเรียนประสิทธิภาพสูงด้วย open data"

คนกรุงเทพฯ จะสามารถเข้าถึงข้อมูลของโรงเรียนที่สังกัดในกทม. อย่างเปิดเผยและมีส่วนร่วมได้ 

เนื่องจากข้อมูลของโรงเรียนสังกัดในกทม.บางโรงเรียน ขาดกระบวนการการเปิดเผยสู่สาธารณะทำให้เข้าถึงข้อมูลได้ยาก ส่งผลให้กระบวนการมีส่วนร่วมจากประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาโรงเรียนไม่สามารถทำได้เต็มที่ 

ดังนั้น กทม.จะเปิดเผยข้อมูลของโรงเรียนในมิติต่างๆ เช่น การใช้งบประมาณ แผนการดำเนินการ ตัวชี้วัด ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ผลการประเมินคุณภาพโรงเรียน ขึ้นอยู่บน Cloud พร้อมกับการแสดงผลบน Dashboard ที่สามารถเข้าใจได้ง่าย เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันระหว่างภาคส่วนต่างๆ (เช่น โรงเรียน ภาคประชาสังคม ผู้ปกครอง เอกชน) ให้เข้ามาช่วยกันคิด แก้ไขปัญหา ออกแบบแนวทางการพัฒนาโรงเรียนให้มีประสิทธิภาพและได้ผลลัพธ์ที่ดีต่อนักเรียนมากยิ่งขึ้น (อ้างอิงจาก มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา CONNEXT ED)

และสุดท้าย คือ นโยบายอาสาสมัครเทคโนโลยี (อสท.) ตัวช่วยด้านเทคโนโลยีสำหรับคนกรุงเทพฯ

เพราะในปัจจุบันองค์ความรู้เกี่ยวกับดิจิทัลเป็นปัจจัยสำคัญในการใช้ชีวิตในมิติต่าง ๆ เช่น

  - การรักษาสิทธิและผลประโยชน์จากรัฐ เช่น การลงทะเบียนโครงการคนละครึ่ง การลงทะเบียนโครงการเราเที่ยวด้วยกัน

  - การประกอบธุรกิจและขยายโอกาสทางธุรกิจ เช่น การขยายช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าออนไลน์

ดังนั้นปัญหาเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจและการเข้าถึงเทคโนโลยีเป็นปัญหาที่มีผลกระทบต่อประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้น้อย และ ประชาชนผู้สูงอายุ ซึ่งผู้สูงอายุที่อายุเกิน 60 ปี ในกรุงเทพฯ มีประมาณมากกว่า 1.1 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20% ของประชากรกรุงเทพฯ ทั้งหมด [1]

ดังนั้น กทม.จะพัฒนาเครือข่ายคนรุ่นใหม่ให้เป็นอาสาสมัครเทคโนโลยี (อสท.) เพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางด้านดิจิทัลของประชาชน เช่น 

  - การช่วยเหลือประชาชน และ ผู้สูงอายุในการลงทะเบียนรักษาสิทธิต่าง ๆ ของรัฐ 

  - การช่วยพ่อค้าหาบเร่แผงลอยในการเข้าถึงตลาดออนไลน์ 

  - การช่วยแรงงานฝีมือในชุมชนเข้าถึงแพลตฟอร์มหางาน และการเก็บข้อมูลพื้นฐานต่าง ๆ 

  - การเก็บข้อมูลผู้ป่วยติดเตียงในชุมชน

  - ช่วยเหลือคนในชุมชน (โดยเฉพาะผู้สูงอายุ) ในการใช้บริการ Telemedicine

  - การช่วยเหลือคนพิการลงทะเบียนบัตรคนพิการ ให้ลดการตกหล่นของคนพิการที่เข้าไม่ถึง รวมถึงการเข้าถึงสิทธิของคนพิการที่มักจะต้องมีบัตรคนพิการในการยืนยันตัวตน

แล้วคนกรุงเทพฯ จะได้อะไร

  - เพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจสำหรับการประกอบธุรกิจของรายย่อยในชุมชน

  - เพิ่มตัวเลือกให้กับผู้บริโภค และได้สนับสนุนผู้ค้ารายย่อย

  - สร้างงาน สร้างโอกาส สำหรับแรงงานและผู้ประกอบการในกรุงเทพฯ 

ดังนั้นการเจาะลึกทั้ง 3 นโยบายของดร.ชัชชาติมัลติเวิร์ส ด้านเทคโนโลยี ถือเป็นบางส่วนของนโยบายที่คัดสรรกลั่นกรองจากปัญหาจริงของชาวเมืองกรุง ผ่านอาสาสมัครและการเข้าพื้นที่พบกับคนที่อยู่อาศัยทั่วกรุงเทพฯ อยู่บนรากฐานของข้อมูลสถิติที่เป็นวิทยาศาสตร์ คิดสร้างสรรค์ร่วมกับนักวิชาการชั้นแนวหน้าจากหลายสถาบันการศึกษา และพร้อมที่จะลงมือดำเนินการได้ทันทีด้วยฝีมือของผู้บริหารคุณภาพ “เพราะไม่ว่ากรุงเทพฯ จะหน้าตาแบบไหน แต่เมืองนี้ต้องเป็นเมืองที่น่าอยู่สำหรับทุกคน”



ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ซีอีโอ Nike เผย 3 สิ่งที่ทำบริษัทพลาดมาตลอดจนทำให้ไนกี้ไม่เหมือนเดิม

ปลายปี 2024 ที่ผ่านมา Nike เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นั่นคือ การลาออกของ John Donahole ในตำแหน่งซีอีโอ และได้ลูกหม้ออย่าง Elliott Hill ที่เริ่มทำงานกับ Nike มาอย่างยาวนานขึ้นมารับ...

Responsive image

กูเกิลปรับนิยาม "Googleyness" ใหม่ ซีอีโอเน้นกล้าคิด กล้าทำ มีเป้าหมาย เป็นคุณสมบัติที่มองหา

"Googleyness" คำที่เคยใช้อธิบายความเป็นกูเกิล ได้รับการปรับความหมายใหม่ในปี 2024 โดย Sundar Pichai ซีอีโอของกูเกิลเอง เพราะที่ผ่านมาคำนี้ค่อนข้างกว้างและไม่ชัดเจน ในการประชุม Pich...

Responsive image

ญี่ปุ่นคิดค้น ‘เครื่องอาบน้ำมนุษย์’ อาบและเป่าแห้งเพียง 15 นาที

หมดข้ออ้างขี้เกียจอาบน้ำแล้ว บริษัท Science Co. ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตหัวฝักบัวจากญี่ปุ่น ได้เปิดตัว “เครื่องซักมนุษย์แห่งอนาคต” หรือ Mirai Ningen Sentakuki...