
Builder.ai สตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นจากอังกฤษที่เคยมีมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มีนักลงทุนรายใหญ่อย่าง Microsoft ร่วมลงทุน ด้วยโมเดลธุรกิจที่อ้างว่าใช้ AI ช่วยให้ลูกค้าสร้างแอปพลิเคชันได้อย่างง่ายดาย แต่สุดท้ายกลับต้องยื่นล้มละลายในเดือนพฤษภาคม 2025 ท่ามกลางข้อกล่าวหาเรื่องการใช้คนทำงานแทน AI
ทำไมถึงเป็นแบบนั้น ? อะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ยูนิคอร์นตัวนี้ล้มลง ?

Builder.ai หรือชื่อเดิมคือ Engineer.ai ก่อตั้งในปี 2016 โดย Sachin Dev Duggal ด้วยแนวคิดที่ว่าจะสร้างซอฟต์แวร์ที่ใช้ง่าย เหมือนกับสั่งพิซซ่า พวกเขาอ้างว่าใช้แพลตฟอร์ม AI ชื่อ Builder Studio และผู้ช่วยดิจิทัล Natasha ที่จะช่วยให้คนทั่วไปที่ไม่มีความรู้ด้านโค้ดดิ้ง สามารถสร้างแอปพลิเคชันในฝันของตนเองได้
วิธีการทำงานของ Builder.ai เรียบง่าย และน่าสนใจมาก ถ้าลูกค้าต้องการสร้างแอปฯ ก็เพียงเข้าไปเลือกเทมเพลต (ในแพลตฟอร์มจะเรียกว่า bases ซึ่งมักจะดึงมาจากแอปฯ ดังๆ) หรืออธิบายความต้องการให้ AI อย่าง Natasha ระบบก็จะแจ้งราคา พร้อมระยะเวลาพัฒนาให้ทราบ เมื่อตกลงจ่ายเงิน จะมี Project Manager เป็นคนมาช่วยประสานงานจนแอปฯ เสร็จ ได้รับการซัพพอร์ตต่อ 2 ปี แถมได้ Source Code ของแอปฯ ด้วย
บริษัทมีการระดมทุนหลายรอบ มีผู้ลงทุนยักษ์ใหญ่ร่วมลงทุนอย่างไม่ขาดสาย ในปี 2018 ระดมทุนได้ 29.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมี DeepCore บริษัทของ SoftBank ร่วมลงทุน ได้เงินไป 29.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปี 2022 ระดมทุนได้ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
และในปี 2023 คือจุดสูงสุดในการระดมทุนรอบใหญ่ มีกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติกาตาร์ (Qatar Investment Authority) มี Microsoft ตบเท้าเข้ามาเป็นนักลงทุนทั้งเชิงกลยุทธ์ และเชิงพันธมิตร

เรื่องราวของยูนิคอร์นตัวนี้เริ่มส่งสัญญาณไม่ดีตั้งแต่ปี 2019 เมื่อ The Wall Street Journal เปิดโปงว่า Engineer.ai ใช้ทีมวิศวกรมนุษย์ ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ที่อินเดีย เป็นกำลังหลักในการพัฒนาแอปพลิเคชันให้ลูกค้า ไม่ได้ใช้ AI เหมือนที่บอกว่า
ส่วนผู้ช่วย AI ที่ชื่อ Natasha ที่บริษัทโปรโมทว่าเป็น AI อัจฉริยะ แม้จะสามารถช่วยออกแบบ และตอบคำถาม แต่หาก Natasha ตอบไม่ได้ ระบบจะทำการนัดหมายให้คุยกับมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า บริษัทใช้ AI เป็นเพียงฉากหน้า เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ แต่เบื้องหลังยังคงึ่งพาทีมงานมนุษย์เป็นหลัก หรือที่เรียกว่า AI Washing
แม้ Builder.ai จะมีข้อดีในเรื่องของราคาที่อาจถูกกว่าการจ้างนักพัฒนาโดยตรง ประหยัดเวลากว่าการใช้เครื่องมือ No-Code จ่ายเงินแล้วยังได้ซัพพอร์ต และ Source Code ด้วย แต่ราคาถือว่าค่อนข้างแพงเช่นกัน
แค่การทำ MVP (Minimum Viable Product - การทำ Product ที่มีฟีเจอร์อย่างน้อยที่สุดเพื่อให้ใช้ในตลาดได้) ราคาก็เริ่มต้นอย่างน้อย 10,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ แถมบางแอปฯ ที่มีฟีเจอร์ซับซ้อน หรือต้องสั่งทำเป็นพิเศษ ระบบก็จะใช้เวลาพัฒนานานโดยไม่ระบุไทม์ไลน์ที่ชัดเจน ทำให้งบประมาณอาจบานปลายได้
Builder.ai เริ่มส่อแวววิกฤติอย่างชัดเจนในปี 2024 มีข้อมูลว่า บริษัทมีการบิดเบือนข้อมูลคาดการณ์รายได้ในปีนั้นให้แก่เจ้าหนี้ สูงกว่าความเป็นจริง 340% โดยคาดการณ์ไว้ว่า 220 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่คาดว่าทำได้จริงแค่ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แถมรายได้ในบางปีก็ถูกปรับลดลงอย่างมากเมื่อถูกตรวจสอบ

ท่ามกลางปัญหาที่รุมเร้า Sachin Dev Duggal ได้ลงจากตำแหน่ง ส่งไม้ต่อให้ Manpreet Ratia จาก Jungle Ventures ซึ่งเป็นหนึ่งในนักลงทุน เข้ามาบริหารแทน
เมื่อทีมบริหารชุดใหม่เข้ามา ก็ได้มีการว่าจ้างสำนักงานกฎหมายให้ดำเนินการสอบสวนภายในเกี่ยวกับความผิดปกติทางการเงิน ซึ่งก็พบว่า ยอดขายภายในบริษัทอาจเป็นของปลอม แถมยังพบว่ามีการพยายามตกแต่งตัวเลขรายได้
สถานการณ์เลวร้ายลงอีกเมื่อ กลุ่มผู้ให้กู้ได้ประกาศว่า Builder.ai ผิดนัดชำระหนี้เงินกู้จำนวน 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ พร้อมกับดำเนินการอายัดเงินกว่า 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากบัญชีบริษัท ทำให้ Builder.ai ขาดสภาพคล่อง และไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้
เมื่อข่าวแพร่สะพัด ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2025 Manpreet Ratia ซีอีโอ คนปัจจุบัน ได้แจ้งต่อพนักงาน และนักลงทุนว่าบริษัทกำลงยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์สิน หรือเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย โดยอ้างว่าเกิดจากความท้าทายที่เกิดขึ้นของบริษัท การตัดสินใจต่างๆ ที่ผิดพลาดไป รวมถึงการกระทำของผู้ให้กู้ที่ทำให้บริษัทไม่สามารถไปต่อได้

หากเข้าไปในเว็บไซต์ Builder.ai จะพบว่าตอนนี้ไม่สามารถเข้าถึงได้แล้ว มีเพียงแค่อีเมลติดต่อที่ทิ้งไว้เพื่อให้ลูกค้าติดต่อสื่อสาร
นับเป็นการปิดฉากอย่างไม่เป็นทางการ เพราะมีรายงานว่า Sachin Dev Duggal พยายามระดมทุนเพื่อซื้อทรัพย์สินของบริษัทคืนจากกระบวนการล้มละลาย
อ้างอิง : financial express, ft, iCoderz, The Next Web, The Register
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด