เย็นกว่า ประหยัดกว่า สะอาดกว่า! จีนนำร่อง Data Center ใต้น้ำ ลดการสูบพลังงานของเซิร์ฟเวอร์บนบก

Hailanyun

ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และคลาวด์คอมพิวติ้งกำลังกลายเป็นสมรภูมิสำคัญทางเทคโนโลยีโลก เบื้องหลังขุมพลังการประมวลผลมหาศาลคือ "Data Center" ที่ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่สมองกลเหล่านี้ก็มาพร้อมกับจุดอ่อนสำคัญ นั่นคือการสูบพลังงานและทรัพยากรน้ำจำนวนมหาศาลเพื่อระบายความร้อน แต่ตอนนี้ จีนกำลังเสนอทางออกที่อาจเปลี่ยนเกมการเล่นไปตลอดกาล ด้วยการนำ Data Center ทั้งหมดดำดิ่งลงสู่ก้นมหาสมุทร

ความท้าทายที่ร้อนระอุของศูนย์ข้อมูลบนบก

Data Center เปรียบเสมือนหัวใจของโลกดิจิทัล แต่หัวใจดวงนี้ทำงานหนักจนร้อนจัด การระบายความร้อนกลายเป็นค่าใช้จ่ายก้อนโตที่กินสัดส่วนพลังงานไฟฟ้าถึง 40% ของการใช้งานทั้งหมด ไม่เพียงเท่านั้น มันยังต้องใช้น้ำสะอาดปริมาณหลายแสนแกลลอนต่อวัน ซึ่งสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อทรัพยากรน้ำจืดที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์และภาคเกษตรกรรม สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงเมื่อบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่หลายแห่งกลับเลือกตั้งศูนย์ข้อมูลในพื้นที่แห้งแล้งที่สุดในโลกเพื่อลดปัญหาความชื้น

เพื่อทลายข้อจำกัดนี้ จีนจึงมองไปยังแหล่งน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง "มหาสมุทร" โดยล่าสุดได้เริ่มก่อสร้างโครงการ Data Center ใต้น้ำนอกชายฝั่งเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นหนึ่งในฮับ AI ของประเทศ ความเคลื่อนไหวนี้ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่คือการส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนผ่านสู่โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลคาร์บอนต่ำ ที่อาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของโลก

Hailanyun

คำตอบจากใต้ท้องทะเลที่เย็นกว่า ประหยัดกว่า และสะอาดกว่า

แทนที่จะใช้ระบบทำความเย็นที่ซับซ้อนและกินไฟมหาศาลบนบก Data Center ใต้น้ำของบริษัท Hailanyun (หรือที่รู้จักในชื่อ HiCloud) ใช้หลักการง่ายๆ แต่ทรงพลัง นั่นคือการสูบฉีดน้ำทะเลเย็นๆ ผ่านระบบหม้อน้ำ (Radiator) ที่ติดตั้งอยู่ด้านหลังแผงเซิร์ฟเวอร์เพื่อดูดซับและระบายความร้อนออกไปโดยตรง

ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าทึ่ง เพราะมันสามารถลดการใช้ไฟฟ้าได้มากกว่า 30% เมื่อเทียบกับศูนย์ข้อมูลบนบกแบบดั้งเดิม และที่สำคัญไปกว่านั้น โครงการนี้ยังถูกออกแบบมาให้ใช้พลังงานสะอาดเกือบ 100% โดยรับไฟฟ้าถึง 97% มาจากฟาร์มกังหันลมนอกชายฝั่งที่อยู่ใกล้เคียง

เฟสแรกของโครงการนี้มีกำหนดเริ่มใช้งานในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ ประกอบด้วยชั้นวางเซิร์ฟเวอร์ 198 ตู้ แต่มีพลังการประมวลผลสูงพอที่จะเทรนโมเดลภาษาขนาดใหญ่อย่าง GPT-3.5 ให้เสร็จสิ้นได้ภายในวันเดียว นี่คือข้อพิสูจน์ว่าแนวคิดนี้ไม่ใช่แค่จินตนาการ แต่สามารถใช้งานได้จริง

ก้าวกระโดดข้ามยักษ์ใหญ่เทคฯ สหรัฐฯ

แนวคิด Data Center ใต้น้ำไม่ใช่เรื่องใหม่ทั้งหมด Microsoft เคยเป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยีนี้มาก่อนภายใต้โครงการ "Project Natick" เมื่อกว่าทศวรรษที่แล้ว โดยได้ทดลองจมแคปซูลเซิร์ฟเวอร์นอกชายฝั่งสกอตแลนด์ และผลการทดลองก็ออกมายอดเยี่ยม ทั้งในแง่ของความน่าเชื่อถือ การประหยัดพลังงาน และอัตราการเสียของอุปกรณ์ที่น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่ปิดสนิทและบรรจุด้วยก๊าซไนโตรเจน

แต่ด้วยเหตุผลบางประการ Microsoft กลับมีรายงานว่าได้พับโครงการนี้เก็บเข้าลิ้นชักไปแล้ว โดยให้เหตุผลว่าจะใช้เป็นแพลตฟอร์มเพื่อการวิจัยต่อไปเท่านั้น

จุดนี้เองที่จีนและ Hailanyun ฉวยโอกาสก้าวกระโดดครั้งสำคัญ พวกเขาใช้เวลาไม่ถึง 30 เดือน ในการผลักดันโครงการจากระดับนำร่อง (Pilot Project) ที่เกาะไห่หนาน สู่การใช้งานเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบที่เซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ Microsoft ไม่เคยทำ นี่คือการเดิมพันครั้งใหญ่มูลค่า 223 ล้านดอลลาร์ ที่หากสำเร็จ จะเป็นการปูทางให้จีนก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้าน Data Center ใต้น้ำระดับโลก โดยได้รับการสนับสนุนเต็มที่จากรัฐบาล

ความกังวลที่ยังซ่อนอยู่ใต้คลื่น

แน่นอนว่าทุกนวัตกรรมย่อมมาพร้อมกับคำถามและความท้าทาย ประเด็นที่น่ากังวลที่สุดคือผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเล แม้ทีมวิจัยของ Microsoft และ Hailanyun จะยืนยันว่าการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิน้ำโดยรอบนั้นน้อยมาก (ไม่ถึง 1 องศาเซลเซียส) และจำกัดอยู่ในวงแคบ แต่ก็มีนักวิจัยบางส่วนกังวลว่าในช่วงที่เกิดปรากฏการณ์คลื่นความร้อนในทะเล (Marine Heat Wave) การระบายความร้อนจาก Data Center อาจซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลง และเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลที่อ่อนไหว

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นด้านความปลอดภัยที่คาดไม่ถึง จากงานศึกษาล่าสุดที่พบว่า Data Center ใต้น้ำมีความเปราะบางต่อการโจมตีด้วยคลื่นเสียงบางประเภท ซึ่งอาจถูกใช้เป็นอาวุธเพื่อทำลายข้อมูลได้

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ากระแสของ Data Center ใต้น้ำกำลังได้รับความสนใจไปทั่วโลก ประเทศอย่างเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ต่างก็กำลังศึกษาและพัฒนาแนวทางของตนเอง แต่ความสำเร็จของการนำไปใช้ในวงกว้างอาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ความสามารถในการจัดการปัญหาด้านกฎระเบียบ, นิเวศวิทยา และซัพพลายเชน ซึ่งเป็นสิ่งที่จีนกำลังพยายามแก้ไขในสเกลขนาดใหญ่อยู่ในขณะนี้ และโลกทั้งใบกำลังจับตามอง

ที่มา: livescience

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ถอดบทเรียนการเงิน SMEs จาก Financial Clinic+ โดย Techsauce x ThinkMate Business Advisory เปลี่ยนตัวเลขหลังบ้าน ให้เป็นกลยุทธ์นำธุรกิจ

Techsauce ผนึกกำลังกับ ThinkMate Business Advisory ริเริ่มโครงการ Financial Clinic+ ขึ้น เพื่อทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง ช่วยปลดล็อกศักยภาพ SMEs ไทยผ่านความเข้าใจเรื่องบัญชีและการเงินท...

Responsive image

Yann LeCun เปิดตัว AMI Labs สตาร์ทอัพใหม่ ทุ่มสร้าง AI ที่เข้าใจโลกอย่างแท้จริง

Yann LeCun นักวิทยาศาสตร์ AI ระดับตำนานและเจ้าของรางวัล Turing Award เปิดตัว AMI Labs สตาร์ทอัพใหม่ที่เดิมพันอนาคต AI ด้วยแนวคิด World Model สร้าง AI ที่เข้าใจโลกจริง...

Responsive image

Techsauce ผนึก TCEB - หอการค้าโคราช ปักหมุดจัดงาน Techsauce Next Entrepreneur's Summit 'The Gateway to Isan' เร่งเครื่องโคราชสู่เมือง AI ระดับประเทศ

Techsauce ผนึก TCEB - หอการค้าโคราช ปักหมุดจัดงาน Techsauce Next Entrepreneur's Summit 'The Gateway to Isan' เร่งเครื่องโคราชสู่เมือง AI ระดับประเทศ...