
ท่ามกลางความท้าทายของโลกยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความผันผวน ทั้งวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ที่ทวีความรุนแรง รวมถึงการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว ตั้งแต่ยุค Cloud มาจนถึง AI ในวันนี้ คำถามสำคัญที่ถูกตั้งขึ้นกลางวงสนทนาของเหล่าผู้เชี่ยวชาญคือ "ทำไมเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่าง AI ถึงยังไม่สามารถช่วยให้มนุษย์รอดพ้นหรือรับมือกับภัยพิบัติทางสภาพแวดล้อมได้อย่างเป็นรูปธรรม?"
คำถามนี้เองนำมาสู่การเปิดตัวโครงการ "CU Living ARCH 5.0" ความร่วมมือระดับปรากฏการณ์ระหว่าง 3 วงการ ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ซิสโก้ (Cisco) และ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) หรือ MFEC เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่แค่การสร้างตึกอัจฉริยะทั่วไป แต่คือการปั้น สถาปัตยกรรม Digital Twin ที่ตอบสนองและขับเคลื่อนด้วย AI (AI-Enabled Responsive Digital Twin Architecture) แห่งแรกของประเทศไทย ภายใต้โครงการ Cisco Country Digital Acceleration (CDA) เพื่อเปลี่ยนอาคารให้มี "ชีวิต" สามารถสื่อสาร และปรับตัวเพื่อดูแลมนุษย์ได้อย่างแท้จริง

ศ.ดร.อรรจน์ เศรษฐบุตร รองคณบดี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงโครงการนี้ว่า ในอดีตงานวิจัยด้านสถาปัตยกรรมมักหยุดอยู่แค่การจำลองสถานการณ์ หรือการทำนายสภาพอากาศล่วงหน้าเพื่อการเตือนภัยเท่านั้น แต่ CU Living ARCH 5.0 กำลังจะก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมเหล่านั้น ด้วยการเปลี่ยนพื้นที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ให้กลายเป็น ‘Living Laboratory’
โครงการนำร่องนี้เริ่มต้นในพื้นที่กว่า 2,000 ตารางเมตร โดยนำเทคโนโลยี Digital Twin มาใช้รวบรวมข้อมูลจากเซ็นเซอร์และระบบอาคารต่างๆ เพื่อสร้างข้อมูลเชิงลึกแบบเรียลไทม์ โจทย์สำคัญคือการทำให้อาคารมีความสามารถในการรู้ล่วงหน้า และ ตัดสินใจได้เอง เช่น การรู้ว่าพรุ่งนี้จะมีค่าฝุ่นสูงหรือไม่ เพื่อเตรียมระบบฟอกอากาศให้พร้อม หรือการวิเคราะห์การใช้พื้นที่ ว่าหากมีนิสิตเข้ามาเรียนจำนวนมาก ระบบปรับอากาศควรทำงานอย่างไรเพื่อให้เกิดทั้งความสบาย และการประหยัดพลังงานสูงสุด
ศ.ดร.อรรจน์ กล่าวเน้นย้ำว่า "CU Living ARCH 5.0 มีความหมายมากกว่าการวิจัย โครงการนี้เป็นแพลตฟอร์มสำหรับการเรียนรู้ สร้างสรรค์นวัตกรรม และแบ่งปันความรู้ ช่วยพัฒนาเทคโนโลยีสภาพแวดล้อมอาคารที่ตอบสนองได้ และขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้าสอดคล้องกับวิสัยทัศน์สังคม 5.0 โดยใช้เทคโนโลยีของซิสโก้เป็นรากฐาน นี่คือจุดเริ่มต้นยุคใหม่ของเทคโนโลยีสภาพแวดล้อมอาคารที่ตอบสนองได้ ที่เราจะยกระดับประสบการณ์และคุณภาพชีวิตของนิสิต บุคลากร และทุกคนที่ใช้พื้นที่นี้"
เบื้องหลังความอัจฉริยะของอาคาร คือโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและปลอดภัย ซึ่งเป็นบทบาทสำคัญของ Cisco ภายใต้การนำของคุณวีระ อารีรัตนศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ ซิสโก้ ประเทศไทย และเมียนมาร์ โดยโครงการนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของ Cisco Country Digital Acceleration (CDA) ที่มุ่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงระดับประเทศ
ในเชิงเทคนิค ซิสโก้ได้นำโซลูชัน IoT อัจฉริยะและโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายที่ปลอดภัยมาติดตั้ง ไม่ว่าจะเป็น Cisco Catalyst switches, Meraki sensors และกล้องอัจฉริยะ ทำหน้าที่เป็น "ดวงตาและระบบประสาท" คอยเก็บรวบรวมข้อมูลสภาพแวดล้อมแบบเรียลไทม์ อาทิ อุณหภูมิ คุณภาพอากาศ และจำนวนผู้สัญจร โดยข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งไปยัง Cisco Spaces แพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลตามตำแหน่ง เพื่อให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจบริหารจัดการทรัพยากรได้อย่างแม่นยำและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกเหนือจากเทคโนโลยี ซิสโก้ยังให้ความสำคัญกับการ "สร้างคน" โดยร่วมมือกับคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนผ่านโปรแกรม Cisco Networking Academy เพื่อยกระดับทักษะไอทีให้นิสิตพร้อมเข้าสู่ตลาดงาน
คุณวีระ อารีรัตนศักดิ์ กล่าวว่า "วิสัยทัศน์สังคม 5.0 ของประเทศไทยให้ความสำคัญกับ ‘คน’ ในการเป็นศูนย์กลางความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และโครงการ CU Living ARCH 5.0 ทำให้วิสัยทัศน์นี้เป็นจริง... ซิสโก้ภูมิใจที่ได้มีส่วนขับเคลื่อนโครงการสถาปัตยกรรม Digital Twin ที่ตอบสนองและขับเคลื่อนด้วย AI แห่งแรกของประเทศไทย โดยส่งมอบเทคโนโลยีพื้นฐานที่เป็นหัวใจสำคัญของโครงการนี้"
หากซิสโก้คือสร้างเส้นทางสำหรับการส่งข้อมูล MFEC คือผู้ที่เข้ามาทำหน้าที่รวบรวมและบริหารจัดการข้อมูลเหล่านั้นให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม คุณดำรงศักดิ์ รีตานนท์ หัวหน้าฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานและการบูรณาการ บริษัท เอ็ม เอฟ อี ซี จำกัด (มหาชน) อธิบายบทบาทในฐานะผู้ติดตั้งระบบ (System Integrator) ว่า MFEC ได้นำประสบการณ์ด้าน IoT และระบบจัดการอาคารอัจฉริยะที่เรียกว่า “MIIoT” (MFEC Intelligent IoT) มาใช้เพื่อทำให้วิสัยทัศน์นี้เป็นจริง
ภายในระยะเวลาเพียง 4 เดือน MFEC ได้เชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ทั่วคณะฯ ทั้งเซ็นเซอร์และมิเตอร์อัจฉริยะ พร้อมสร้าง Dashboard ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับผู้ใช้งาน 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ ทีมวิศวกร ที่ต้องการข้อมูลเชิงเทคนิคละเอียด และ ผู้บริหารคณะ ที่ต้องการข้อมูลเชิงลึกเพื่อการตัดสินใจ
ความสำคัญที่ MFEC เข้ามาเติมเต็มคือการสร้างระบบ Full Loop Digital Twin ที่ไม่ได้แค่แสดงผล (Digital Shadow) แต่สามารถนำข้อมูลไปวิเคราะห์และนำไปสู่การจัดการอาคารได้จริง เปลี่ยนจากการรอให้เกิดความเสียหายแล้วค่อยซ่อมบำรุง (Reactive) ไปสู่การบริหารจัดการเชิงรุก (Proactive) เพื่อป้องกันปัญหา
คุณดำรงศักดิ์ กล่าวเสริมว่า "ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของแนวทางการจัดการอาคารของประเทศไทย... เราได้เชื่อมโยงข้อมูลทางวิศวกรรมเข้ากับข้อมูลเชิงลึกสำหรับผู้บริหาร ทำให้สามารถเปลี่ยนจากการซ่อมบำรุงเมื่อเกิดความเสียหาย ไปสู่การบริหารจัดการเชิงรุกเพื่อป้องกันปัญหา สิ่งที่เราสร้างขึ้นคือต้นแบบที่สามารถนำไปขยายผลได้ทั่วประเทศ เป็นอนาคตดิจิทัลของประเทศ"
CU Living ARCH 5.0 ไม่ได้หยุดอยู่แค่พื้นที่นำร่อง 2,000 ตารางเมตร แต่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีแผนที่จะขยายผลไปยังพื้นที่เพิ่มเติมอีก 28,000 ตารางเมตร ภายในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ และคาดว่าจะมีความพร้อมในการใช้งานระบบ AI เต็มรูปแบบในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2569
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด