บนเวที Axios AI+ Summit ที่ซานฟรานซิสโก Demis Hassabis ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอของ Google DeepMind ปรากฏตัวในจังหวะที่โลกกำลังตั้งคำถามกับอนาคตของ AI และอนาคตของมนุษยชาติเองโดยเขาไม่ได้มอง AI แค่ในฐานะ ‘เทคโนโลยี’ แต่ในฐานะ ‘แรงขับเคลื่อน’ ที่กำลังกำหนดทิศทางของโลกยุคต่อไป

Demis Hassabis ระบุอย่างชัดเจนว่า Artificial General Intelligence (AGI) หรือ AI ที่ฉลาดเทียบมนุษย์ อาจอยู่ห่างออกไปเพียง 5–10 ปี และเหตุการณ์นั้นจะ “เปลี่ยนมนุษยชาติยิ่งกว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรม และเร็วกว่าถึงสิบเท่า”
ในบทความนี้ Techsauce ขอสรุปภาพอนาคตที่เขาเห็นทั้งในระยะใกล้ในอีกปีข้างหน้า และระยะไกลว่า AI จะพาเราไปสุดทางที่ตรงไหน
Demis ถูกขอให้ “พูดตรง ๆ แบบไม่ขายฝัน” ว่าโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไรในอีก 12 เดือน ซึ่งเขาสะท้อนผ่าน 3 ประเด็นหลักดังนี้
Multimodal AI เริ่ม ‘ตีความ’ แบบมนุษย์
หนึ่งในความก้าวหน้าที่น่าประหลาดใจ คือ Multimodal AI ซึ่งคือโมเดลที่สามารถประมวลผลข้อมูลหลายรูปแบบ เช่น ภาพ วิดีโอ เสียง และข้อความ พร้อมกันได้ ความสามารถนี้ผลักดันให้การใช้เหตุผลของโมเดลกระโดดไปอีกระดับ
Gemini เป็นตัวอย่างสำคัญของ Multimodal AI ที่ออกแบบมาให้เข้าใจบริบทจากข้อมูลหลากหลายพร้อมกัน จนพัฒนาการใช้เหตุผลได้ โดย Demis เล่าว่าเขาทดสอบความเข้าใจเชิงสัญลักษณ์ของ Gemini ด้วยการถามถึง ‘นัยยะทางปรัชญา’ ของฉากถอดแหวนในภาพยนตร์ Fight Club ซึ่ง Gemini สามารถให้คำตอบเชิงอภิปรัชญาได้อย่างน่าประทับใจ
เขายังเสริมว่า Gemini 3 มีพัฒนาการด้านเหตุผลที่โดดเด่น โดยเริ่ม ‘กล้าท้วงอย่างสุภาพ’ เมื่อผู้ใช้ตั้งสมมติฐานผิด และเพราะโมเดลถูกปล่อยให้ผู้ใช้นับร้อยล้านคนทดลองใช้งาน ความสามารถใหม่ ๆ จึงมักถูกค้นพบโดยผู้ใช้นอกบริษัทก่อนทีมวิจัยเสียอีก
AI เริ่มมีความเข้าใจโลกตามโครงสร้าง
DeepMind เปิดตัว Genie 3 ซึ่ง Demis อธิบายว่าเป็น Interactive Video Model หรือโลกจำลองที่ AI สามารถเข้าใจฟิสิกส์และโครงสร้างของภาพได้ตามธรรมชาติ ผู้ใช้สามารถ ‘เดินผ่าน’ วิดีโอได้เหมือนอยู่ในเกม วัตถุยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม แสงเงาถูกต้อง และโครงสร้างภาพไม่แตกสลายแม้สำรวจต่อเนื่องเป็นนาที นี่ถือเป็นก้าวสำคัญของ ‘ความเข้าใจโลกตามโครงสร้าง’ ซึ่งเป็นความสามารถที่ LLM แบบข้อความยังทำไม่ได้
Agents เข้าใกล้การทำงานได้เต็มรูปแบบ
แม้ปัจจุบันเรายังไม่สามารถมอบหมายงานยาว ๆ และเชื่อใจ AI Agents ได้เต็ม 100% แต่ Demis เชื่อว่าปีหน้าจะเป็นครั้งแรกที่ Agents เข้าใกล้ความสามารถระดับนั้น
การพัฒนานี้จะทำให้ Gemini ก้าวออกจากการเป็นผู้ช่วยที่อยู่เพียงในคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ ไปสู่ระบบที่ทำงานได้บนอุปกรณ์ทุกประเภท และจะกลายเป็นรูปแบบแรกของ ‘แรงงานดิจิทัล’ ที่มนุษย์สามารถมอบหมายงานทั้งชุดให้ทำแทนได้จริง
Demis เชื่อว่าในท้ายที่สุดแล้วเราอาจไปถึงจุดที่ AI อาจนำพามนุษย์เข้าสู่ยุค ‘ความอุดมสมบูรณ์แบบสุดขั้ว’ (Radical Abundance) กล่าวคือ โลกที่ปัญหาใหญ่ถูกแก้ด้วย AI ทั้งหมด มีพลังงานสะอาดราคาถูก โรคร้ายได้รับการรักษา และเทคโนโลยีพาเราไปไกลถึงการสำรวจห้วงอวกาศ
แต่เขาก็ยอมรับตรง ๆ ว่าอีกด้านคือความเสี่ยงมหาศาลที่ต้องระวัง ทั้งภัยจากผู้ไม่หวังดี และความเป็นไปได้ที่ AI จะทำงานผิดเป้าหมายเมื่อมีความเป็น Agentic สูงขึ้น และเมื่อถามถึง ‘P-doom’ หรือความน่าจะเป็นที่ความหายนะจะเกิดขึ้นจาก AI เขาตอบว่า “ไม่มีใครรู้จริง ๆ แต่ที่แน่นอนคือมันไม่ใช่ศูนย์ ดังนั้นเราต้องป้องกันอย่างจริงจัง”
แม้ LLM อย่าง Gemini 3 จะก้าวหน้าอย่างมาก แต่ Demis ย้ำว่า LLM ยังไม่ใช่ AGI เนื่องจาก LLM ยังขาดความสม่ำเสมอด้านสติปัญญา และยังขาดความสามารถสำคัญอย่างการเรียนรู้ต่อเนื่อง
เขาเชื่อว่า AGI ต้องการ Breakthrough ใหม่ระดับเดียวกับ Transformer อีก 1-2 ครั้ง ซึ่งหมายถึงการค้นพบสถาปัตยกรรมโมเดล หรือวิธีการเรียนรู้รูปแบบใหม่ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในช่วง 5–10 ปีข้างหน้า และเมื่อถึงจุดนั้น ผลลัพธ์อาจเทียบได้กับยุค Enlightenment ครั้งใหม่ของมนุษยชาติ
และคำถามสำคัญคือ “มนุษย์จะตามทันโลกหลัง AGI ได้หรือไม่?” Demis ตอบว่า “ได้ เพราะเรามีตัวอย่างอยู่แล้ว”
เขาย้ำว่าสมองมนุษย์คือหลักฐานเดียวของ General Intelligence ที่เรารู้จักในจักรวาล และสมองมนุษย์ได้พิสูจน์แล้วว่าเราปรับตัวจากโลกนักล่า เก็บของป่า มาสู่ยุคเมือง เทคโนโลยี และอินเทอร์เน็ตได้สำเร็จ ดังนั้นเขาเชื่อว่า “เราปรับตัวได้เสมอ”
อ้างอิง: Axios
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด