‘Echo Chamber’ เมื่อโลกนั้นแคบกว่าที่เราคิด | Techsauce

‘Echo Chamber’ เมื่อโลกนั้นแคบกว่าที่เราคิด

เวลาเราโพสต์ในโซเชียลมีเดียกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก็มักจะเจอคนที่เห็นด้วยกับเราหรือขอไปแชร์ต่อ ระหว่างที่เล่นโซเชียลอยู่ดี ๆ ก็ปรากฎโฆษณาสินค้าและบริการ ที่รู้สึกว่าของมันต้องมีและอยากได้มานาน ครั้นพอย้ายเข้าไป Netflix ดูซีรีส์เกาหลีเรื่องนึงจบ เรื่องต่อไปที่โปรแกรมแนะนำต่างก็มีแต่เรื่องที่เราอยากดูทั้งนั้น แต่พอตัดมาที่ในโลกแห่งความจริง เรากลับไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมความคิดของเราที่คิดว่าเจ๋งและเพื่อนชอบในโซเชียล กลับไม่เป็นที่ยอมรับในที่ทำงาน ทำไมคนคนนั้นคนถึงชื่นชอบกันเยอะ แต่แนวคิดเขากลับไม่ถูกใจเราเลยซักนิด หรือแม้กระทั่งวงที่เราชื่นชอบและคิดว่าดังเป็นพลุแตก กลับไม่ได้รับความนิยมขนาดนั้น แล้วโลกโซเชียลมีเดียที่เห็นนั้นคืออะไรกันแน่ ข้อมูลที่เราได้รับนั้นมันถึงกลับตาลปัตร หรือแท้จริงแล้ว เราติดอยู่ในฟองสบู่ที่เรียกว่า Echo Chamber กันนะ

Echo chamber: ห้องสะท้อนเสียงตัวเอง

พจนานุกรมชื่อดังอย่าง Cambridge ได้ให้ความหมายของคำว่า Echo Chamber ว่าเป็นพื้นที่แห่งเสียงสะท้อน หรือความหมายโดยนัยคือ สถานการณ์ที่คนจะได้ยินแต่ความคิดเห็นแบบเดียวกัน 

ปรากฎการณ์ Echo Chamber ไม่ได้มีแค่ในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเท่านั้น แต่เกิดขึ้นตั้งแต่เวลาเราอยู่ในครอบครัว เผชิญกับสังคมที่โรงเรียน หรืออาศัยอยู่ในชุมชน เราอาจคุ้นชินกับพ่อแม่ที่เปิดทีวีช่องเดียวมาตั้งแต่ยังเล็ก เวลาอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่ไม่ชอบเรียนเลขมาหลายปี หรืออาศัยอยู่ในชุมชนที่เชื่อในการดูดวง ที่ทั้งหมดนี้เองได้หล่อหลอมความคิดเราจนเริ่มซึมซับความคิดเห็นหรือความจริงเพียงด้านเดียวมาอย่างไม่ทันตั้งตัว อย่างไรก็ตาม เมื่อเรามาอยู่ในสังคมขนาดใหญ่ เราก็ถูกบังคับเจอความคิดเห็นที่หลากหลายขึ้นและทำให้เราออกจาก echo chamber ได้ในที่สุด 

‘โซเชียลมีเดีย’ Echo Chamber ที่ครอบงำความคิดจนกู่ไม่กลับ

เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา คนหันมาเริ่มโซเชียลมีเดียกันจนติดหนึบมากขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากจะมาจากสาเหตุที่ว่าเราได้ติดต่อกับคนใหม่ ๆ เพื่อนเก่าที่ไม่เคยเจอกันมานาน หรือคนที่มีความสนใจตรงกันแล้ว เรายังได้เสาะหาโอกาสใหม่ ๆ ทางการงาน เพิ่มช่องทางการขายสินค้าและบริการจนติดอันดับขายดี 

ขณะเดียวกัน แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ก็ได้สร้างฟองสบู่พื้นที่เสียงสะท้อนขนาดใหญ่ และทำให้คนตกหล่มในความคิดนั้น ๆ จนออกมาได้ยาก เพราะแต่ละแพลตฟอร์ม ก็มีเครื่องมือทางเทคโนโลยีและอัลกอริทึมที่ช่วยคัดกรองเนื้อหาที่เราสนใจและชื่นชอบ หรือความคิดเห็นที่ยืนยันว่าสิ่งที่เราเชื่อนั้นคือความถูกต้อง ต่อให้ในความเป็นจริงจะไม่สมเหตุสมผลก็ตาม ในจุดนี้เองจึงไม่แปลกใจเลยที่เราจะชอบโซเชียลมีเดียเพราะเป็นที่ ๆ เราได้รับการยอมรับจากคนในคอมมูนิตี้ ไม่รู้สึกแปลกแยกจากสังคมนั่นเอง  

นอกเหนือจากนี้ เมื่อเราเผชิญกับคนที่คิดเห็นต่าง โซเชียลมีเดียก็มีเครื่องมือที่ขจัดความคิดเห็นต่างออกไป เช่น Facebook ทำให้เราสามารถลบเพื่อนที่ไม่ชอบออกผ่านฟีเจอร์ unfriend หรือ unfollow ส่วน Twitter อนุญาตให้เราลบเนื้อหาที่ไม่เห็นด้วยผ่านฟีเจอร์ mute

แล้วพอเรารับความคิดเห็นแบบเดียวกันมากขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือหลักการคิดแบบมีเหตุผลของเราจะค่อย ๆ เลือนหายไป หรือที่เรียกว่า Cognitive Bias ความคิดเราจะจำกัดมากขึ้น เต็มไปด้วยอคติ คล้อยตามกลุ่มคนจำนวนมาก จนไปถึงรับไม่ได้เมื่อมีคนคิดเห็นต่างจากเรา 

ในระยะสั้นอาจดูไม่น่ากลัวเท่าไร แต่ผลสำรวจจากมหาวิทยาลัย Alberta ในประเทศแคนาดานั้นพบว่า Echo Chamber ในโซเชียลมีเดีย สามารถสร้างความเกลียดชังในสังคมได้อย่างมีนัยยะสำคัญ ดังที่เห็นได้จากกรณีกลุ่มคนสนับสนุนอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก่อความไม่สงบในอาคารรัฐสภาของสหรัฐจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่ง เหตุเพราะว่าทรัมป์กล่าวใน Twitter ให้ออกมาต่อต้านผลการเลือกตั้งเพียงทวิตเดียว

เราจะออกจาก Echo Chamber ได้อย่างไร ?

อย่างไรก็ตาม เรายังคงต้องพึ่งพาโซเชียลมีเดียเป็นหนึ่งในช่องทางติดต่อ และหาข้อมูลเพื่อจุดประสงค์ใดจุดประสงค์หนึ่ง ก็ย่อมหนีไม่พ้นห้อง Echo chamber อยู่ดี แล้วจะทำอย่างไรให้เราไม่ตกในหล่มความคิดที่เต็มไปด้วยอคติ ?

ประการแรก เราต้องรับรู้ก่อนว่าข้อมูลทุกประเภทของโซเชียลมีเดียนั้นอาจไม่ถูกต้องไปทั้งหมด ทุก ๆ ครั้งที่เลื่อนอ่านเนื้อหาในไทม์ไลน์ ก็ควรคำนึงด้วยว่าเนื้อหานั้นใครเป็นคนโพสต์ ภาษาที่เขาใช้เน้นเหตุผลหรืออารมณ์ ที่มาน่าเชื่อถือเพียงใด จากนั้นค่อยตัดสินใจว่าจะเชื่อหรือไม่ ส่วนอีกประการหนึ่งก็คือลองเปลี่ยนไปดูเนื้อหาที่เราไม่ชอบบ้าง แล้วเปิดใจว่าสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อคืออะไร และสำคัญไปกว่านั้น ลองเปลี่ยนมาอยู่ในโลกแห่งความจริงบ่อยครั้งขึ้น อาจเริ่มจากการเข้าสังคมใหม่ หรือเลือกไปฟังเสวนาที่หลากหลาย อาจช่วยให้เราเริ่มคิดเป็นเหตุเป็นผล และตัดสินใจโดยปราศจากอคติได้ 

ข้อมูลจาก theringer ,wirednytimes

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ไม่ยอมขายแอป ก็โดนแบน สหรัฐฯ จ่อแบน TikTok หวั่นเป็นภัยความมั่นคงชาติ

สหรัฐฯ ผ่านกฎหมายแบน TikTok แล้ว บังคับบริษัทแม่ ByteDance ต้องขายแอปภายใน 1 ปี มิฉะนั้นจะถูกแบนในสหรัฐฯ ด้านซีอีโอ TikTok ประกาศกร้าว พร้อมท้าทายกฎหมาย ไม่ไปไหนทั้งนั้น...

Responsive image

KBank ผนึก J.P. Morgan เปิดโปรเจกต์ Carina ใช้บล็อกเชน ลดเวลาทำธุรกรรมจาก 72 ชั่วโมงเหลือ 5 นาที

Kbank ร่วมกับ J.P. Morgan Chase Bank เปิดตัวโปรเจคต์นวัตกรรมคารินา (Carina) ลดระยะเวลาการทำธุรกรรม จากที่ใช้เวลา 72 ชั่วโมงเหลือเพียงแค่ 5 นาที...

Responsive image

Apple Vision Pro ขายไม่ดีอย่างที่คิด Apple ลดคาดการณ์ยอดขายกว่าครึ่ง ปรับแผนใหม่

Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์สาย Apple เผยว่า Apple ได้ลดตัวเลขยอดขาย Apple Vision Pro ในปีนี้เหลือเพียง 400-450,000 เครื่องเท่านั้น ต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้ (มากกว่า 700–800,000 เครื่อง)...