คุณเคยรู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย หมดพลัง และรู้สึกว่าชีวิตการทำงานมันหนักหนาสาหัสเกินไปหรือไม่? อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่ากำลังเผชิญกับภาวะหมดไฟ หรือ Burnout Syndrome ซึ่งไม่ได้เป็นแค่ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่คอยกัดกินสุขภาพกายและใจของเรา แต่มันคือ 'ระเบิดเวลา' ที่ถูกมองความและสร้างความเสียหายอย่างมากให้กับหลายองค์กรทั่วโลกได้สูงถึง 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี
ตามคำนิยามของ Mayo Clinic ภาวะ Burnout คือภาวะของความเหนื่อยล้าอย่างรุนแรงและการขาดความกระตือรือร้นในการทำงาน ซึ่งเกิดจากความเครียดสะสมเป็นเวลานาน และถึงแม้ว่า Burnout จะส่งผลเสียต่อสุขภาพส่วนบุคคลของพนักงาน ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ หรืออาการนอนไม่หลับ แต่ยังไม่รวมถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับองค์กรซึ่งถูกมองข้ามไปอยู่บ่อยครั้ง
อ้างอิงจากรายงาน SHRM Employee Mental Health เดือนเมษายน 2024 พบว่า 44% ของพนักงานในสหรัฐฯ มีอาการหมดไฟ โดย American Psychological Association ระบุว่าสาเหตุสำคัญซึ่งล่วนเกิดจากสภาวะทำงาน ได้แก่
จากการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน American Journal of Preventative Medicine เมื่อต้นปี 2024 พบว่าภาวะหมดไฟของพนักงานในสหรัฐฯ ทำให้บริษัทต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 4,000 ถึง 21,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1.35 - 7 แสนบาทต่อพนักงานหนึ่งคนต่อปี จากการสูญเสียประสิทธิภาพการทำงาน วันลาที่เพิ่มขึ้น และคุณภาพงานที่ลดลง
โดยเฉลี่ยแล้วพนักงานทั่วไปทำให้บริษัทเสียค่าใช้จ่ายราว 4,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ 1.35 แสนบาทต่อปี ขณะที่ผู้จัดการทำให้บริษัทเสียค่าใช้จ่ายราว 10,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 3.38 แสนบาทต่อปี และผู้บริหารระดับสูงทำให้บริษัทเสียค่าใช้จ่ายมากกว่า 20,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 6.76 แสนบาทต่อปี
หากองค์กรมีพนักงาน 1,000 คน โดยมีสัดส่วนพนักงานทั่วไป 88% ผู้จัดการ 10% และผู้บริหารระดับสูง 2% ภาวะหมดไฟสามารถสร้างความเสียหายทางการเงินให้กับองค์กรได้สูงถึง 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 169 ล้านบาท ต่อปี หากทุกคนอยู่ในภาวะ Burnout
การศึกษานี้ใช้แบบจำลองเชิงคำนวณที่พัฒนาโดย Public Health Informatics, Computational, and Operations Research (PHICOR) ที่มหาวิทยาลัย CUNY โดยจำลองสถานการณ์ที่พนักงานต้องเผชิญกับปัจจัยความเครียดต่างๆ เช่น ภาระงานที่เพิ่มขึ้น ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน และแรงกดดันจากองค์กร ซึ่งนำไปสู่ภาวะหมดไฟ
ศาสตราจารย์ Bruce Y. Lee จาก CUNY Graduate School of Public Health and Health Policy กล่าวว่า “แบบจำลองของเราแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า Burnout ของพนักงานส่งผลกระทบต่อผลกำไรของบริษัทและองค์กร ดังนั้น การให้ความสำคัญกับสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลกำไรได้”
งานวิจัยยังพบว่าผลกระทบจาก Burnout สูงกว่าต้นทุนของสวัสดิการด้านสุขภาพถึง 2.9 เท่า และสูงกว่าต้นทุนการฝึกอบรมพนักงานถึง 17.1 เท่า
สำหรับพนักงาน
พนักงานควรลดการเผชิญกับปัจจัยความเครียดในงาน ให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเอง เช่น การพักผ่อน การออกกำลังกาย และการจัดลำดับความสำคัญของงาน นอกจากนี้ ควรสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในที่ทำงานเพื่อช่วยสนับสนุนซึ่งกันและกัน
สำหรับบริษัท
บริษัทสามารถช่วยลดภาวะหมดไฟได้โดยการให้สวัสดิการด้านสุขภาพจิตสำหรับพนักงาน กระจายภาระงานอย่างเหมาะสม และสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมความสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว
การป้องกันและแก้ไขภาวะหมดไฟไม่เพียงช่วยให้พนักงานมีความสุขและสุขภาพดีขึ้น แต่ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น และยังเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในระยะยาวได้อีกด้วย
อ้างอิง: entrepreneur
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด