ช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น 'กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์' น่าจับตาอย่างยิ่งว่าจะปรับตัวกันอย่างไร เพราะผู้เช่า/ผู้ซื้อ อาจลดการใช้จ่าย ลดกำลังซื้อลง ในประเด็นนี้ แบรนด์อสังหาริมทรัพย์ครบวงจรอย่าง บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FTP: Frasers Property (Thailand) Public Company Limited เปิดเผยว่า แม้ไม่ได้เป็นผู้นำด้านมูลค่าตลาด แต่ธุรกิจก็ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มาในปีนี้ บริษัทเร่งดันธุรกิจสู่ 'Real Estate as a Service Brand' เต็มขั้น โดยมุ่งสร้างความสมดุลธุรกิจในมิติใหม่ เพิ่มสัดส่วนกระแสรายได้จากค่าเช่า เพื่อเสริมแกร่งธุรกิจอสังหาฯ ครบวงจรที่เติบโตอย่างยั่งยืน
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) ประเมินตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยว่ายังมีแรงบวก แต่ต้องระวังปัจจัยเสี่ยงจากในและนอกประเทศ ทั้งยังมีความเชื่อมั่นในพอร์ตโฟลิโออันแข็งแกร่ง ที่รุกสร้างการเติบโตผ่านการเป็น Real Estate as a Service Brand ตามโรดแมป FPT Next 2025 ได้ กล่าวคือ ครอบคลุมการดำเนินงาน 3 มิติ ได้แก่ Space as a Service - Community as a Service - Sustainability as a Service โดยผนวก 3 กลุ่มธุรกิจ ทั้งที่อยู่อาศัย-อุตสาหกรรม-พาณิชยกรรม เพื่อเสิร์ฟการบริการที่เหนือกว่า
เนื่องจากลูกค้าและผู้ใช้งานมีความต้องการที่หลากหลาย คุณธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Country Chief Executive Officer) บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองถึงทิศทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ว่า ได้รับแรงขับเคลื่อนจากการฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยวที่ส่งผลให้ภาคเอกชนมีการบริโภคเพิ่มขึ้น บวกกับภาครัฐที่ออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง รวมถึงนักลงทุนต่างชาติที่หลั่งไหลเข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตาปัจจัยกดดันทางเศรษฐกิจ อาทิ ภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย หนี้ครัวเรือน และปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครน และความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-ฮามาส
แม้จะเผชิญหน้ากับความท้าทายหลายด้าน แต่ FPT ยังคงความสามารถในการสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง ด้วยแผนกลยุทธ์ที่มีความยืดหยุ่น มีฐานการเงินที่แข็งแกร่ง และมีธุรกิจที่หลากหลายซึ่งสามารถสร้างรายได้อย่างสมดุลจากการขายและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ทำให้มีกระแสรายได้ต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าในปี ค.ศ. 2027 (พ.ศ. 2570) ว่า บริษัทจะสร้างรายได้กว่า 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนสินทรัพย์ที่สร้างรายได้จากการขายและรายได้ประจำอยู่ที่ 40:60 สะท้อนถึงความพร้อมในการเติบโตระยะยาวภายใต้การเป็นแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลกที่มีทีมงานมากประสบการณ์และความชำนาญหลายด้าน พร้อมต่อยอดในการพัฒนาสินค้าและบริการคุณภาพสูงที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าและผู้ใช้งานทุกกลุ่ม
ในด้านธุรกิจที่อยู่อาศัย เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) ตั้งเป้าทำรายได้กว่า 13,000 ล้านบาทในปีนี้ โดยการเปิดตัว 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 11,600 ล้านบาท เดินหน้าต่อเนื่องกับการจับตลาดบ้านเดี่ยวและบ้านลักชัวรี พร้อมสร้างกระแสรายได้จากค่าเช่าให้เติบโตแข็งแกร่งผ่านธุรกิจโรงงานและคลังสินค้า ที่จะลงทุนประมาณ 4,000 ล้านบาทในการขยายพื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการอีก 150,000 ตร.ม. เพิ่มจากปัจจุบันที่ 3.5 ล้านตร.ม. ทั้งในไทย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ด้วยเป้าหมายอัตราการเช่าอยู่ที่ 87% พร้อมมีแผนลงทุนต่อเนื่องเพื่อมุ่งสู่พื้นที่ภายใต้การบริหารจัดการ 4 ล้าน ตร.ม. ในอีก 2 ปี นอกจากนี้ ยังมุ่งมั่นยกระดับการให้บริการอาคารสำนักงานเกรดเอย่าน CBD และพื้นที่รีเทลอย่างสามย่านมิตรทาวน์และสีลมเอจที่เชื่อมั่นว่า จะสามารถรักษาอัตราการเช่าในระดับสูงที่ 93%
“FPT เป็นแพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรที่สั่งสมประสบการณ์มาอย่างยาวนานและมีความเชี่ยวชาญที่หลากหลาย ซึ่งนับเป็นรากฐานสำคัญในการต่อยอดและคิดค้นสิ่งใหม่ๆ สำหรับยกระดับนวัตกรรมการบริการ โดยบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าการเป็น Real Estate as a Service Brand จะสามารถสร้างความแข็งแกร่งและเสริมโอกาสใหม่ให้กับธุรกิจอย่างโดดเด่นจากผู้เล่นรายอื่นในตลาด พร้อมทั้งช่วยยกระดับมาตรฐานอสังหาริมทรัพย์ไทยให้เทียบเท่าระดับสากล”
คุณธนพลกล่าวเพิ่มอีกว่า บริษัทให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่เน้นว่าต้องมียอดขายสูงสุด เมื่อมีการขึ้นดอกเบี้ยในระบบเศรษฐกิจ สิ่งที่ต้องทำก็คือ การลดหนี้ หรือเปลี่ยนสัดส่วนจากหุ้นกู้เป็น Project Financing
"เราจะปรับสมดุลการลงทุนโดยมุ่งเน้นธุรกิจคลังสินค้าและโลจิสติกส์ เพราะเราเห็นเทรนด์ว่า คนมาลงทุนในคลังสินค้ามากขึ้น ในออฟฟิศมากขึ้น ในโรงพยาบาลมากขึ้น เช่นที่ทำคลังสินค้าให้ลูกค้าเช่าในโซนบางพลี หรือที่ทำให้ผู้ค้าปลีกในลักษณะของ Fulfilment ที่วังน้อย จังหวัดอยุธยา"
เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย พร้อมสานต่อภารกิจยกระดับวงการอสังหาริมทรัพย์ผ่านการต่อยอดนวัตกรรมการบริการด้วยการเป็น 'Real Estate as a Service Brand' เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เป็นไปตามโรดแมป FPT Next 2025 ที่ประกาศเมื่อปีที่แล้ว โดยแผนงานเดินหน้าสร้าง Real Estate as a Service Brand แบ่งเป็น 3 มิติ คือ
พัฒนาอาคารสำนักงานด้วยแนวคิด Core & Flex ให้บริการพื้นที่แบบมาตรฐานและยืดหยุ่น รวมถึงสำนักงานตกแต่งเบ็ดเสร็จพร้อมเข้าทำงานโดยไม่ต้องตกแต่งเพิ่มเติม ภายใต้ชื่อบริการ PromptMove-พร้อมมูฟ ตอบรับดีมานด์ผู้เช่าหลากหลายเซ็กเมนต์ พร้อมยังมีการออกแบบอาคารอุตสาหกรรมที่มีพื้นที่และฟังก์ชันที่สอดรับกับรูปแบบธุรกิจของลูกค้าอย่างการพัฒนา Last Mile Delivery Center ให้กับกลุ่มโลจิสติกส์ ตลอดจนการสร้างบ้านและทาวน์โฮมหลากหลายรูปแบบที่ลงลึกถึงรายละเอียดที่แตกต่างของพื้นที่และฟังก์ชัน รวมถึงอัปเกรดแอปพลิเคชัน Home+ ที่ผนึกกำลังร่วมกับพาร์ตเนอร์ พร้อมให้บริการลูกค้าครบวงจรตั้งแต่การขายถึงการอยู่อาศัย
มุ่งพัฒนาพื้นที่ควบคู่กับการยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนโดยรอบ สะท้อนได้จากการดำเนินงานปรับปรุงคุณภาพโลจิสติกส์พาร์ค (PEI: Park Enhancement Initiative) เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ในการใช้ชีวิตให้กับผู้ใช้งาน ผ่านการเพิ่มพื้นที่สีเขียว สนามฟุตบอล ลู่วิ่ง เป็นต้น รวมถึงพัฒนาพื้นที่รีเทลที่ให้ความสำคัญกับชุมชน (Community-Centric) ด้วยการสร้างพื้นที่ธุรกิจที่มีความหมายและเกิดประโยชน์กับชุมชนโดยรอบ (Placemaking) เพื่อร่วมสร้างการเติบโตไปด้วยกัน
ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาด้านความยั่งยืนทุกมิติอย่างต่อเนื่อง โดยทุกอาคารอุตสาหกรรมได้รับการพัฒนาตามมาตรฐานอาคารเขียวระดับสากล ผ่านการรับรองมาตรฐาน LEED และ EDGE แล้วกว่า 500,000 ตารางเมตร ขณะเดียวกัน เดินหน้าปรับปรุงคุณภาพอาคารเดิมผ่านโครงการ AEI (Asset Enhancement Initiative) ของอาคารโรงงาน-คลังสินค้า และอาคารสำนักงาน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้ใช้อาคาร และรักษามาตรฐานการให้บริการไว้ในระดับสูง ขณะที่ที่อยู่อาศัยได้ผสมผสานฟีเจอร์บ้านเพื่อการอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน เช่น ระบบระบายอากาศ ERV การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป และ EV Charger เป็นต้น
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด