500 Startups เป็นกลุ่มผู้ลงทุนในสตาร์ทอัปที่เรียกได้ว่าแอคทีฟที่สุดในโลก โดยในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาลงทุนไปราวๆ 1,600 ทุนทั่วโลกแล้ว อีกทั้งยังร่วมก่อตั้ง 500 Tuktuks ที่เป็นกองทุนสำหรับลงทุนในสตาร์ทอัปในประเทศไทยโดยเฉพาะด้วย ล่าสุดกลุ่ม 500 Startups ได้ร่วมมือกับ Insead graduate business school เพื่อศึกษาว่า บริษัทใหญ่ที่สุด 2,000 บริษัททั่วโลก (จากการจัดอันดับโดย Forbes) มีวิธีปรับตัวและรับมือกับสตาร์ทอัปอย่างไรบ้าง ในรายงานชิ้นนี้จะครอบคลุมบริษัทใหญ่ที่สุดของโลก 500 บริษัทจาก 69 อุตสาหกรรม ใน 37 ประเทศ ซึ่งเป็นการศึกษาและรวบรวมข้อมูลรอบด้านจากรายงานประจำปีและเว็บไซต์ของบริษัทเพื่อดูว่าสถานการณ์ของบริษัทเหล่านั้นกับตลาดสตาร์ทอัปเป็นอย่างไร
Arnaud Bonzom Director of Corporate Innovation ใน 500 Startups กล่าวว่า “เราค้นพบความจริงชิ้นใหม่ที่ว่า บริษัทใหญ่ที่สุดของโลกหลายๆบริษัทนั้น ไม่ได้ 'สูญเสีย' มากขนาดที่พวกเราคิด”
“โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป” เขากล่าว “รวมถึงโมเดลธุรกิจของบริษัทใหญ่ๆ ด้วย” ตัวอย่างเช่น
มีกรณีตัวอย่างมากมายในประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นแล้วว่า จะเลือกเปลี่ยน หรือเลือกจะตายไป Blockbuster บริษัทเช่าหนังที่เคยเป็นเพื่อนรักของเราตั้งแต่สมัยเด็กหายไปไหนแล้วในปัจจุบัน หรือทำไม Kodak ถึงไม่ได้มีชื่อเสียงในตลาดกล้องดิจิทัล แล้วคุณเชื่อหรือไม่ว่า Blockbuster เคยได้โอกาสในการจะซื้อ Netflix แต่สุดท้ายก็ปล่อยมันผ่านไป เหมือนกับที่ Kodak มีโอกาสจะเข้ามาร่วมแจมในวงการกล้องดิจิทัล แต่ก็ไม่ได้ทำ สำหรับในปัจจุบันบริษัทต่างๆ มีสองทางเลือกนั่นก็คือ เปลี่ยนแปลง หรือ ตายไป ซึ่งเราคงไม่แปลกใจที่จะได้ยินว่า
1. บริษัท 100 บริษัทแรกในลิสต์ Forbes’ Global 500 กำลังดำเนินความร่วมมือกับสตาร์ทอัปอย่างจริงจังเป็นสองเท่าของ 100 บริษัทสุดท้ายในลิสต์นั้น
2. Wall-Street journal ได้ระบุถึงรายชื่อของบริษัทสตาร์ทอัปที่จะจัดอยู่ภายใต้ Billion Dollar Startups Club ว่า มี Unicorn Startups มากกว่าครึ่ง (61.7%) ที่ระดมทุนจากอย่างน้อย 1 บริษัทระดับคอร์เปอเรท (ไม่รวมสถาบันทางการลงทุนหรือธนาคาร)
3. สตาร์ทอัปสามารถระดมทุนจากบริษัทได้โดยตรง โดยไม่ต้องพึ่งพา VC แล้ว ซึ่งตรงนี้แสดงให้เห็นว่า VC เองจะเริ่มโดนลดความสำคัญ (disruption) ลงไปในอนาคตอันใกล้นี้
Arnaud ยกตัวอย่างบริษัท DocuSign ในสหรัฐอเมริกา ที่ระดมทุนใหญ่ระดับ Series E จากเพียงกลุ่มนักลงทุนที่เป็นรูปแบบบริษัทหรือองค์กรเท่านั้น (SalesForce, Google, Recruit, Mitsui & Co, BBVA, NTT Docomo, Telstra and MKI) ไม่ได้มีจาก VC เลย กลายเป็นว่ารูปแบบการลงทุนแบบเดิมจาก VC ไม่ใช่แหล่งเงินทุนเดียวสำหรับสตาร์ทอัปอีกแล้ว เหมือนกับเป็นการพิสูจน์ว่าในโลกธุรกิจนี้ ใครก็สามารถโดน ‘disrupt’ ได้
4. บริษัทต่างๆ ไม่ได้ลงทุนแค่ในกลุ่มธุรกิจที่ใกล้เคียงกับตัวเองเท่านั้น เช่น บริษัทสตรีมมิ่งเพลงชื่อดังของโลกอย่าง Spotify ก็ได้ทุนจาก Coca-Cola
มีคำถามว่าทำไมแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งเพลงถึงไประดมทุนจากบริษัทเครื่องดื่ม “เมื่อเรามองดูการลงทุนหรือการพาร์ทเนอร์ร่วมมือกันในรูปแบบนี้ ระหว่างบริษัทใหญ่กับสตาร์ทอัป มันเป็นเรื่องของการที่บริษัทเหล่านั้นกำลังเผชิญกับความท้าทายหรือการแข่งขันอะไรอยู่” นาย Arnaud กล่าว ความท้าทายอย่างหนึ่งของ Spotify ก็คือการที่จะโปรโมทผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก และสิ่งที่ Spotify ได้จากการพาร์ทเนอร์กับ Coca Cola ก็คือความร่วมมือและการสนับสนุนจากยักษ์ใหญ่ที่ขายผลิตภัณฑ์อยู่แล้วทั่วโลก สิ่งที่เราอาจนึกไม่ถึงก็คือ Coca-Cola เป็นบริษัทเครื่องดื่มที่มีรถบรรทุกมากกว่ารถบรรทุกทั้งหมดของ UPS, DHL และ FedEx รวมกันเสียอีก! จากจุดนี้ทำให้คิดได้ว่า Coke เป็นบริษัทด้านการขนส่งที่ใหญ่ที่สุดของโลกเลยทีเดียว และในอีกมุมหนึ่ง Coke เองก็ได้ประโยชน์จากความร่วมมือนี้เช่นกัน คือการที่ลูกค้าของ Coke ได้สิทธิ์ฟังเพลงฟรีจาก Spotify ก็ช่วยให้เสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่าง Coke กับผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น
มีอีกหลายข้อน่าสนใจจากรายงาน คือ
ข้อเสนอแนะ สำหรับบริษัทที่จะร่วมมือทำงานกับสตาร์ทอัป
มีหลายๆ บริษัทกำลังมองหาจังหวะที่เหมาะสม และจะเป็นประโยชน์สูงสุดในการเริ่มร่วมงานกับสตาร์ทอัป เช่น dtac ซึ่งได้เปลี่ยนจากการลงทุนในระดับ series A ซึ่งต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก อีกทั้งยังเป็นการสู้ชนกับนักลงทุนรายใหญ่ต่างๆ มาเป็นการทำโครงการ accelerator ทำให้ dtac เองก็ได้สิทธิ์เข้าร่วมมือกับสตาร์ทอัปตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น แต่ก็จะมีความเสี่ยงมากกว่า เพราะบริษัทสตาร์ทอัปในช่วงต้นยังมีมูลค่าต่ำมาก
บริษัทใหญ่ๆในลิสต์ 500 บริษัทใหญ่ที่สุดของโลกใช้วิธีควบรวมและเข้าซื้อกิจการ (Mergers & Acquisitions - M&A) และบางบริษัทก็ทำวิจัยและพัฒนาด้วย (Research & Development - R&D) จากงานวิจัยระบุว่า ความร่วมมือระหว่างบริษัทและสตาร์ทอัปส่วนใหญ่เกิดขึ้นใน 2 ช่วงนี้ โดยนาย Arnaud ได้แนะนำแนวทางสำหรับบริษัทต่างๆ ดังนี้
โดยสรุปแล้ว รายงานจาก 500 Startups และ Insead แสดงให้เห็นว่าบริษัทส่วนใหญ่เล็งเห็นประโยชน์จากการร่วมมือดำเนินความสัมพันธ์กับเจ้าของกิจการ และได้ร่วมลงทุนในสตาร์ทอัปไม่วิธีการใดก็วิธีการหนึ่งแล้ว ทีนี้ก็เหลือแค่เมื่อไรเท่านั้น ที่เราจะได้เห็นบริษัทใหญ่ๆ ที่เหลือ แห่เข้าร่วมแจมมหกรรมความร่วมมือสร้างความสัมพันธ์กับเหล่าสตาร์ทอัปต่อไป
สำหรับบริษัทที่สนใจศึกษาเพิ่มเติมสามารถดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็มจาก 500 Startups และ Insead’s จำนวน 51 หน้าได้ที่: How do the Biggest Companies Deal with the Startup Revolution? รวมถึงติดตาม Techsauce เพิ่มเติม เรายังมีสาระความรู้ และข่าวคราวเรื่องสตาร์ทอัปและคอร์เปอเรท มานำเสนอเพิ่มเติมแน่นอน
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด