IMD จัดอันดับ Digital Competitiveness ปีนี้ ไทยร่วงจาก 35 เป็น 37 ถ้าอยากขยับขึ้น...ต้องแก้ไขตรงไหนก่อน? | Techsauce

IMD จัดอันดับ Digital Competitiveness ปีนี้ ไทยร่วงจาก 35 เป็น 37 ถ้าอยากขยับขึ้น...ต้องแก้ไขตรงไหนก่อน?

สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย หรือ ทีเอ็มเอ (TMA) องค์กรไม่แสวงหากำไรที่มุ่งสร้างเสริมความเป็นเลิศของผู้บริหารและร่วมยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย เผยผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศโดย World Competitiveness Center ของ International Institute for Management Development หรือ IMD สวิตเซอร์แลนด์ ประจำปี 2567 ว่าปีนี้ ไทยคว้าอันดับที่ 37 ลดลง 2 อันดับจากปีที่แล้ว จากทั้งหมด 67 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจ

IMDเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 World Competitiveness Center แห่งสถาบัน IMD – International Institute for Management Development ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เผยแพร่ รายงานการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัล ประจำปี 2567 ของ 67 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจ โดยในปีนี้ มี 3 เขตเศรษฐกิจที่เข้าร่วมการจัดอันดับเพิ่มเติมจากปีที่แล้ว ได้แก่ กานา ไนจีเรีย และเปอร์โตริโก

การจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัล โดย IMD World Competitiveness Center ปีนี้มีการเพิ่ม 5 ตัวชี้วัดใหม่

รายงานการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัล (IMD World Digital Competitiveness Ranking) เป็นการวัดศักยภาพของประเทศในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการพัฒนา หรือที่เรียกว่า Digital Transformation ทั้งในภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคสังคม โดยเป็นการวิเคราะห์ประเมินใน 3 ด้านคือ ความรู้ เทคโนโลยี และ ความพร้อมสำหรับอนาคต ซึ่งจากรายงานการจัดอันดับในปี 2567 แสดงให้เห็นว่า ประเทศที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลสูง เป็นประเทศที่ให้ความสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล และนวัตกรรมของตนเองมาก สะท้อนจากจำนวนการจดสิทธิบัตรของเทคโนโลยีขั้นสูง (High-tech patent grants) ความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายด้านทรัพย์สินทางปัญญา (Strong enforcement of IP rights) และความมีประสิทธิภาพในการใช้ประโยชน์จาก e-governance (effective utilization of e-governance benefits)

ในปีนี้ เพื่อให้การจัดอันดับสะท้อนภาวการณ์ปัจจุบันด้านดิจิทัลมากขึ้น IMD เพิ่มตัวชี้วัดใหม่ในมิติของธรรมาภิบาล ธุรกิจ และสังคม รวมถึง AI อีก 5 ตัวชี้วัดผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัล ประจำปี 2567 โดย IMD World Competitiveness Center ได้แก่ 

  • 1) Computer science education index 
  • 2) AI articles 
  • 3) AI Policies passed into law 
  • 4) Secure internet servers 
  • 5) Flexibility and adaptability   

ทั้งนี้ ในรายงานผลการจัดอันดับในปีนี้ IMD ได้กล่าวถึงประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของแต่ละประเทศในยุคปัจจุบัน ได้แก่ ความไม่เท่าเทียมกันในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านดิจิทัล (Disparity in the development of digital infrastructure) ทั้งในระดับระหว่างประเทศและภายในประเทศ และ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical tensions) ที่ทำให้บางประเทศแข่งขันการเป็นผู้นำด้านดิจิทัลและเกิดการแบ่งแยกของ global digital governance และเป็นอุปสรรคต่อความร่วมมือในด้านที่สำคัญ เช่น Cyber Security และ Data Privacy  ซึ่งจะส่งผลถึงความไม่เท่าเทียมในการพัฒนาด้านดิจิทัลอีกทางหนึ่ง

ประเทศ/เขตเศรษฐกิจที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลสูงที่สุด 10 อันดับแรก

จากจำนวน 67 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งได้รับการจัดอันดับพบว่า ประเทศ/เขตเศรษฐกิจที่มีอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลสูงที่สุด 10 อันดับแรกในปี 2567 ส่วนใหญ่ยังคงเป็นประเทศในทวีปยุโรป อย่างไรก็ตาม ในปีนี้เป็นที่น่าสนใจว่า มีประเทศในทวีปเอเชียติดใน 10 อันดับแรกถึง 4 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ฮ่องกง และไต้หวัน ในส่วนของสหรัฐอเมริกา ที่อยู่อันดับ 1 ในปีที่แล้ว ลดลง 3 อันดับมาอยู่ที่อันดับ 4 ในปีนี้ เป็นผลมาจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์กับมหาอำนาจอีกประเทศอย่างจีน ต่อความสามารถในการแข่งขันทางด้านเทคโนโลยีในตลาดโลก และภูมิทัศน์ด้านดิจิทัล (Digital landscape) ของประเทศ  

สำหรับประเทศ/เขตเศรษฐกิจอื่นที่ได้รับการจัดอันดับใน 10 อันดับแรก ได้แก่ 

  • อันดับ 1 สิงคโปร์ ขยับดีขึ้น 2 อันดับ จากอันดับที่ 3 ในปีก่อน จากความแข็งแกร่งของตัวชี้วัด Management of cities, High-tech patent grants, Banking and financial services และ Public-private partnerships ตามมาด้วย 
  • อันดับ 2 สวิตเซอร์แลนด์ ที่ดีขึ้น 3 อันดับจากปีที่แล้ว จากอันดับที่ดีขึ้นอย่างมากของตัวชี้วัด High-tech exports (%), E-Participation และ Cyber security 
  • อันดับ 3 เดนมาร์ก ปรับอันดับดีขึ้น 1 อันดับ จากการที่ประเทศให้ความสำคัญและอันดับที่ยอดเยี่ยมในอันดับที่ 1 ของตัวชี้วัด Employee training, Country credit rating, Agility of companies, Attitudes towards globalization, E-Government และ Secure internet servers 

ในส่วนของประเทศ/เขตเศรษฐกิจที่อยู่ในอันดับ 4 – 10 ของการจัดอันดับในปีนี้ อันดับ 4 สหรัฐอเมริกา อันดับ 5 สวีเดน อันดับ 6 เกาหลีใต้ อันดับ 7 ฮ่องกง อันดับ 8 เนเธอร์แลนด์ อันดับ 9 ไต้หวัน และอันดับ 10 นอร์เวย์ 

3 ปัจจัยหลักที่ใช้จัดอันดับดิจิทัลของไทยในปี 2567 ดีขึ้น 2 ด้าน ถดถอย 1 ด้าน

ในปี 2567 ประเทศไทยอยู่ที่อันดับ 37 ลดลง 2 อันดับจากปีที่แล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับอันดับลดลงค่อนข้างมากของปัจจัยด้าน เทคโนโลยี (Technology) จากปีก่อน รวมถึงผลจากการเพิ่มเข้ามาของ 5 ตัวชี้วัดที่ใช้จัดอันดับที่ส่วนใหญ่ ไทยยังมีขีดความสามารถในการแข่งขันน้อย โดยเฉพาะตัวชี้วัดที่มีความเกี่ยวข้องกับ AI 

ผลการจัดอันดับด้านดิจิทัลของไทยในปัจจัยหลัก 3 ด้าน พบว่า ผลการจัดอันดับในปีนี้ ประเทศไทยมีผลการจัดอันดับดีขึ้นเล็กน้อยใน 2 ด้าน ได้แก่ ด้านความรู้ (Knowledge) และ ด้านความพร้อมสำหรับอนาคต (Future Readiness) ที่ต่างดีขึ้น 1 อันดับจากปีก่อน มาอยู่ที่อันดับ 40 และอันดับ 41 ตามลำดับ ในขณะที่ ด้านเทคโนโลยี (Technology) ที่ไทยมีอันดับดีมาโดยตลอด กลับปรับอันดับลงค่อนข้างมากถึง 8 อันดับจากปี 2566 มาอยู่ที่อันดับ 23 ในปีนี้ โดยมีรายละเอียดของแต่ละปัจจัยหลัก ดังนี้

  • ความรู้ (Knowledge)

ด้านความรู้ เป็นการวัดถึงศักยภาพของประเทศในการค้นคว้า ทำความเข้าใจ และเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ผ่านตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับศักยภาพของบุคลากร การลงทุนด้านการศึกษา และการวิจัยพัฒนา ในปี 2567 IMD มีการเพิ่มตัวชี้วัดเข้ามาในการวิเคราะห์จัดอันดับทั้งหมด 2 ตัวชี้วัด แบ่งเป็นภายใต้ปัจจัยย่อยด้านการฝึกอบรมและการศึกษา (Training & education) 1 ตัวชี้วัด คือ Computer science education index ไทยอยู่ที่อันดับ 39 และอีก 1 ตัวชี้วัดภายใต้ปัจจัยย่อยด้านการให้ความสำคัญด้านวิทยาศาสตร์ (Scientific Concentration) คือ AI articles ซึ่งไทยอยู่อันดับที่ 57 

ปี 2567 ไทยมีผลการจัดอันดับด้านความรู้ (Knowledge) ดีขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย 1 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 40 เป็นผลมาจากการปรับอันดับดีขึ้นอย่างมากถึง 12 อันดับของปัจจัยย่อยด้านการฝึกอบรมและการศึกษา (Training & education) ที่ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เป็นปัจจัยย่อยที่ไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันที่ค่อนข้างน้อยตลอดมา จากการที่ตัวชี้วัด Hard Data 2 ตัวชี้วัด ขยับอันดับดีขึ้นมาก ได้แก่ Graduate in Sciences อันดับ 13 ดีขึ้นจากปีที่แล้ว 25 อันดับ และ Total public expenditure on education อันดับ 32 ดีขึ้นจากปีที่แล้ว 19 อันดับ 

อย่างไรก็ตาม ภายใต้ปัจจัยย่อยนี้ มีตัวชี้วัดที่เพิ่มเข้ามาใหม่ในปีนี้ 1 ตัว คือ  Computer science education index โดยไทยมีขีดความสามารถระดับปานกลาง ในอันดับ 39 

ในขณะที่ปัจจัยย่อยด้านกลุ่มคนที่มีความสามารถ (Talent) และด้านการให้ความสำคัญด้านวิทยาศาสตร์ (Scientific Concentration) ต่างมีอันดับลดลงจากปีก่อน 4 อันดับ มาอยู่ในอันดับที่ 39 และ 42 ตามลำดับ จากอันดับที่ลดลงของหลายตัวชี้วัด ไม่ว่าจะเป็นตัวชี้วัด Educational assessment PISA – Math, Management of cities, Digital/Technological skills, High-tech patent grants และ Total expenditure on R&D (%) 

โดยภายใต้ปัจจัยย่อยด้านการให้ความสำคัญด้านวิทยาศาสตร์ (Scientific Concentration) ก็มีตัวชี้วัดที่เพิ่มเข้ามาใหม่ในปีนี้ 1 ตัว คือ AI articles ที่ไทยมีขีดความสามารถค่อนข้างน้อยมากในอันดับ 57 

ทั้งนี้ ตัวชี้วัดที่นับว่ายังคงเป็นจุดอ่อน (Weaknesses) อย่างต่อเนื่องของไทย ที่ต้องเร่งให้ความสำคัญในการพัฒนาคือ การจ้างงานบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคนิค (Scientific and technical employment) รวมถึงตัวชี้วัดด้านการศึกษาที่ไทยมีอันดับค่อนข้างรั้งท้าย ได้แก่ ตัวชี้วัด Pupil-teacher ratio (tertiary education) 

  • เทคโนโลยี (Technology) 

ด้านเทคโนโลยี เป็นการวัดถึงปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ที่มีผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล ได้แก่ กฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ รวมถึงความพร้อมของเงินทุนที่ใช้ในการพัฒนาเทคโนโลยี ในปี 2567 IMD มีการเพิ่มตัวชี้วัดเข้ามาในการวิเคราะห์จัดอันดับทั้งหมด 2 ตัวชี้วัด แบ่งเป็นภายใต้ปัจจัยย่อยด้านกรอบกฎหมาย (Regulatory Framework) 1 ตัวชี้วัด คือ AI policies passed into law และอีก 1 ตัวชี้วัดภายใต้ปัจจัยย่อยด้านโครงสร้างด้านเทคโนโลยี (Technological Framework) คือ Secure internet servers     

ด้านเทคโนโลยี ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ไทยมีอันดับขีดความสามารถสูงกว่าโดยเปรียบเทียบกับอีก 2 ปัจจัย อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ด้านเทคโนโลยีของไทย มีการปรับอันดับลดลงค่อนข้างมาก จากปัจจัยย่อยด้านโครงสร้างด้านเทคโนโลยี (Technological Framework) ที่อันดับลดลง 6 อันดับจากปีก่อนมาอยู่ที่อันดับ 21 ในปี 2567

จากอันดับที่ลดลงของตัวชี้วัด High-tech exports (%) และ Internet bandwidth speed รวมถึงผลจากอันดับที่ค่อนข้างต่ำของตัวชี้วัดที่เพิ่มเข้ามาใหม่ในปีนี้ ได้แก่ Secure internet servers อันดับ 48 

นอกจากนี้ ปัจจัยย่อยด้านกรอบกฎหมาย (Regulatory Framework) ก็มีอันดับลดลงจากปีที่แล้ว   5 อันดับเช่นกัน มาอยู่ในอันดับ 36 จากตัวชี้วัดที่เป็นผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหาร (EOS) 3 ตัวชี้วัด ที่อันดับลดลงค่อนข้างมาก ได้แก่ ตัวชี้วัด Immigration laws, Intellectual property rights และ Scientific research legislation รวมถึงตัวชี้วัดที่เพิ่มเข้ามาใหม่ภายใต้ปัจจัยย่อยนี้ 1 ตัว คือ AI policies passed into law ซึ่งไทยมีขีดความสามารถในระดับปานกลางในอันดับ 39 ในขณะที่ ปัจจัยย่อยเรื่องตลาดทุน (Capital) มีอันดับลดลง 1 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 13 จาก 67 ประเทศ เป็นผลจากตัวชี้วัดที่มีอันดับลดลงคือ Funding for technological development, Investment in Telecommunications และ Venture capital  

  • ความพร้อมสำหรับอนาคต (Future readiness) 

ด้านความพร้อมสำหรับอนาคต เป็นการพิจารณาถึงความสามารถของทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และสังคม ในการนำเทคโนโลยีมาใช้ ซึ่งพิจารณาจากตัวชี้วัดด้านการใช้อินเทอร์เน็ตในกิจกรรมต่าง ๆ การใช้หุ่นยนต์ในภาคอุตสาหกรรม และการใช้เครื่องมือ data analytics ในภาคธุรกิจ และ e-Government ในภาครัฐ เป็นต้น โดยในปี 2567 IMD มีการเพิ่มตัวชี้วัดเข้ามาในการวิเคราะห์จัดอันดับอีก 1 ตัวชี้วัด ภายใต้ปัจจัยย่อยทัศนคติที่ยืดหยุ่น (Adaptive Attitudes) คือ Flexibility and adaptability ซึ่งเป็นตัวชี้วัดจากผลการสำรวจความเห็นของผู้บริหาร (EOS) เกี่ยวกับความยืดหยุ่นและศักยภาพในการปรับตัวเมื่อต้องเผชิญความท้าทายใหม่ ๆ ของบุคลากรในประเทศ 

ด้านความพร้อมสำหรับอนาคต ยังคงเป็นปัจจัยหลักที่ไทยมีอันดับขีดความสามารถไม่มากนัก โดยปรับอันดับดีขึ้นจากปีที่แล้วเพียง 1 อันดับ มาอยู่อันดับ 41 ในปีนี้ อย่างไรก็ตาม มี 2 ปัจจัยย่อยที่มีอันดับดีขึ้นค่อนข้างมาก ได้แก่ ปัจจัยย่อยเรื่อง ความคล่องตัวของธุรกิจ (Business Agility) ดีขึ้น 9 อันดับมาอยู่ที่อันดับ 25 จากตัวชี้วัด Entrepreneurial fear of failure ที่อันดับดีขึ้นถึง 14 อันดับจากปีก่อนมาอยู่ในอันดับที่ 37 และ ปัจจัยย่อย ทัศนคติที่ยืดหยุ่น (Adaptive Attitudes) ที่มีอันดับดีขึ้น 6 อันดับ จากตัวชี้วัด Smartphone possession อันดับ 26 ดีขึ้น 4 อันดับ และ Internet retailing อันดับ 38 ดีขึ้น 2 อันดับ จากอัตราการครอบครองสมาร์ทโฟนของครัวเรือนไทยที่มากขึ้น และจำนวนมูลค่าธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ของไทยที่สูงขึ้น 

เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน รวมถึงตัวชี้วัดที่เพิ่มเข้ามาในการวิเคราะห์จัดอันดับอีก 1 ตัวชี้วัด ภายใต้ปัจจัยย่อยนี้ คือ Flexibility and adaptability ซึ่งเป็นตัวชี้วัดจากผลการสำรวจความเห็นของผู้บริหาร (EOS) เกี่ยวกับความยืดหยุ่นและศักยภาพในการปรับตัวเมื่อต้องเผชิญความท้าทายใหม่ ๆ ของบุคลากรในประเทศ โดยไทยมีอันดับขีดความสามารถค่อนข้างดีในอันดับ 27

ทั้งนี้ ตัวชี้วัดที่นับว่ายังคงเป็นจุดอ่อน (Weaknesses) อย่างต่อเนื่องของไทย ที่ต้องเร่งให้ความสำคัญในการพัฒนาสำหรับปัจจัยด้านความพร้อมสำหรับอนาคต คือ ตัวชี้วัด Tablet possession อันดับ 57, Software piracy อันดับ 57 และ Privacy protection by law exists อันดับ 54 จาก 67 ประเทศ ซึ่งจำเป็นที่ไทยต้องให้ความสำคัญในการยกระดับพัฒนาศักยภาพในการแข่งขันด้านดิจิทัลใน 3 ตัวชี้วัดนี้อย่างต่อเนื่องต่อไป 

ไทยกับเขตเศรษฐกิจในกลุ่มภูมิภาคอาเซียน (ASEAN)

ในระดับอาเซียนที่ IMD มีการจัดอันดับเขตเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้รวม 5 เขตเศรษฐกิจนั้น สิงคโปร์ยังคงเป็นประเทศที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันทางด้านดิจิทัลสูงสุดในกลุ่มภูมิภาคอาเซียนเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา รวมถึงจาก 67 เขตเศรษฐกิจที่ได้รับการจัดอันดับในปี 2567 สาเหตุจากปัจจัยด้านความพร้อมสำหรับอนาคตที่สิงคโปร์มีอันดับดีขึ้นจากปีที่แล้วอย่างมากถึง 9 อันดับมาอยู่อันดับที่ 1 ในปีนี้ รองลงมาคือ มาเลเซีย อันดับ 36 ลดลงจากปีที่แล้ว  3 อันดับ เป็นผลจากการปรับอันดับลดลงของทั้ง 3 ปัจจัยหลักไม่ว่าจะเป็นความรู้ เทคโนโลยี และความพร้อมสำหรับอนาคต ตามมาด้วยไทยในอันดับที่ 3 ของอาเซียน ซึ่งมีอันดับลดลงจากปีก่อน 2 อันดับมาอยู่ที่อันดับ 37 

แต่ที่น่าจับตามองคือ อินโดนีเซีย แม้จะยังตามหลังมาเลเซียและไทย แต่มีแนวโน้มอันดับดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งผลการจัดอันดับรวม (IMD World Competitiveness Ranking) และผลการจัดอันดับด้านดิจิทัล (World Digital Competitiveness Ranking) ที่ขยับดีขึ้น 2 อันดับมาอยู่ที่อันดับ 43 ในปีนี้ จากอันดับของปัจจัยด้านความพร้อมสำหรับอนาคตของอินโดนีเซียที่ดีขึ้นจากปีที่แล้วอย่างมากถึง 13 อันดับ มาอยู่อันดับ 30 และปัจจัยด้านความรู้ดีขึ้นถึง 7 อันดับมาอยู่อันดับ 53 ในขณะที่ฟิลิปปินส์ อันดับลดลง 2 อันดับจากปี 2566 มาอยู่ที่อันดับ 61 ในปีนี้ ทำให้รั้งท้ายในกลุ่มภูมิภาคอาเซียน

วิเคราะห์สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญ - พัฒนา - ปรับปรุง โดยปลัดกระทรวง DE และ TMA

ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดอันดับโดย IMD ว่า ในปีที่ผ่านมา อันดับของไทยขยับขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากอันดับ 40 ขึ้นมาเป็น 35 และแม้จะมีความพยายามขับเคลื่อนทั้ง 3 ปัจจัย มีคณะทำงานเก็บข้อมูลมากกว่า 50 ตัวชี้วัด แต่ด้วยตัวชี้วัดที่มีพลวัตสูง อันดับก็ขยับจาก 35 ลงมาเป็นอันดับ 37 ในปีนี้ โดยประเด็นสำคัญอยู่ที่ปัจจัยด้าน 'เทคโนโลยี'

"ปีที่แล้ว ปัจจัยด้านเทคโนโลยีอยู่ในอันดับที่สูง เพราะมีการลงทุนมาก มีแนวคิดเรื่องการจัดทำคลาวด์ภาครัฐ มีกรอบการทำงานเพื่อให้โครงสร้างพื้นฐานดีขึ้น แต่บางเรื่องยังไม่ค่อยเห็นผล จึงส่งผลต่อการจัดอันดับในปีนี้ และในด้านเทคโนโลยียังมีการวัดเรื่องอื่นอีก เช่น กฎหมายดิจิทัล ซึ่งในปีนี้จะมีกฎหมายออกใหม่อีกหลายตัว เช่น การจัดซื้อจัดจ้างเพื่อการจัดทำคลาวด์ เพราะฉะนั้น ยังมีหลายเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่อยู่ในไปป์ไลน์ เชื่อว่าเราจะได้เห็นอันดับเทคโนโลยีในปีหน้าน่าจะดีขึ้น

"ด้านเทคโนโลยี ถ้ามีการลงทุนซื้อเทคโนโลยี ด้านนี้มันก็โต แต่การที่จะทำให้ประเทศเราเติบโตอย่างยั่งยืน ต้องทำด้านความรู้และความพร้อมสำหรับอนาคตให้มีความชัดเจนขึ้น ซึ่งในด้านความรู้ มีการบูรณาการเรื่องข้อมูลผ่านหลักสูตรด้านดิจิทัล โดยมีการสร้างแพลตฟอร์ม Learn to Earn เพื่อเก็บข้อมูลของคนที่เรียนรู้ด้านดิจิทัล แล้วนำข้อมูลไปทำเครดิตแบงก์ จะส่งผลให้มีข้อมูลสะสมด้านการเรียนรู้ ส่งผลต่อกระบวนการด้าน Workforce ที่สามารถจ้างงานได้ อันนี้เป็นโปรเจกต์สำคัญในปีหน้าในการพัฒนาด้านความรู้" ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์กล่าว

ส่วนเรื่องความพร้อมสำหรับอนาคต ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ให้มุมมองว่า ประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับรัฐบาลดิจิทัล ซึ่งจะมีความท้าทายอีกมากในปีต่อๆ ไป จากการทำงานหลังบ้านของรัฐบาลที่ต้องเปลี่ยนผ่านเป็นรัฐบาลดิจิทัล ทำให้เกิดการใช้งานคลาวด์และเกิด Software-as-a-Service ทั้งยังมีการตั้งเป้าให้เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่น้อยกว่า 200,000 คน ทำงานแบบ Paperless ในปี 2568 แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า อันดับด้านความพร้อมสำหรับอนาคตน่าจะดีขึ้นเช่นกัน

ส่วนรายละเอียดในเรื่องที่ไทยทำได้คะแนนไม่ดีและเป็น Pain Point ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์บอกว่า มีเรื่อง 1) ทรัพย์สินทางปัญญา โดยกระทรวงพาณิชย์รับโจทย์ด้านการจัดการระเบียบทางทรัพย์สินทางปัญญา ไปแล้ว  ขณะที่กระทรวง DE จะช่วยปิดกั้นการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาผ่านระบบที่มีอยู่ ร่วมกับทำให้การใช้งานดิจิทัลเป็นไปอย่างถูกกฎหมาย 2) การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตาม PDPA ซึ่งถือว่าปัจจุบันดีขึ้น แต่ต้องป้องกัน ทำให้ข้อมูลรั่วไหลลดลง และสร้างความเชื่อมั่น ซึ่งเป็นงานที่ท้าทาย กับ 3) ความปลอดภัยทางไซเบอร์ ที่มีการปรับการทำงานร่วมกัน และมีแผนนำระบบคลาวด์เข้ามาใช้และสร้าง Platform-as-a-Service ทำเว็บไซต์ให้มีมาตรฐานการดูแลสูงขึ้น

"ที่ผ่านมาการทำเรื่อง Cybersecurity มีการใช้เงินจำนวนมาก จากการวางโครงสร้างพื้นฐานที่กระจัดกระจาย เพราะฉะนั้น การจัดการคลาวด์ก็ดี การรวมศูนย์การบริการจัดการก็ดี จะทำให้เราใช้เงินด้านนี้ลดลง แต่เพิ่มศักยภาพให้ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) หรือ NCSA ที่เราจัดตั้งขึ้นมาดูแลและทำงานกับหลายหน่วยงาน มีระบบช่วยเหลือ ตรวจสอบ และป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลได้มากขึ้น และยังกลายเป็นแผนงานร่วมกันกับ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PCPC ในการดูแลหน่วยงานต่างๆ ไม่ให้มีจุดอ่อน อย่างที่มีการบอกว่า มีโอกาสที่หน่วยงานต่างๆ จะมีข้อมูลหลุดรั่วไปได้หรือมีการแฮก ความจริงหลายๆ เรื่องมาจาก 'ฐานต้นทุน' เช่น การวางมาตรฐานของการทำระบบ ที่แต่ละหน่วยต่างก็มีการจัดซื้อจัดจ้าง มาเป็นการสร้างค่ามาตรฐานในการจัดซื้อจัดจ้าง หรืออาจใช้วิธีรวมศูนย์เพื่อลดความเสี่ยง"

สอบถามเพิ่มเติมถึงการลงทุนในด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาองค์ความรู้และเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันให้ประเทศ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์กล่าวว่า โดยทั่วไปภาครัฐมีการลงทุน เรื่อง R&D 2 ระดับ คือระดับ Real Sciences กับระดับการลงทุนในขั้นพื้นฐาน ซึ่งกระทรวง DE แจ้งขอปรับงบ กำหนดแผน และเป้าหมายเอาไว้หลายด้าน แต่บางด้านก็อาจใช้เงินสนับสนุนจากกองทุน DE เช่น การทำ Sandbox, การทำ R&D ในบางเรื่อง อย่างการ Utilize ทำวิจัยและพัฒนาไปพร้อมๆ กัน เช่น EdTech, MedTech ไปสู่ภาคประชาชนก็อยู่ในกรอบการลงทุนนี้

คุณธีรนันท์ ศรีหงส์ ประธานศูนย์เพื่อการพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน TMA กล่าวถึงรายงานการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลประจำปีนี้ IMD โดยตั้งข้อสังเกตว่าประเทศที่เป็นผู้นำในด้านความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลต่างเป็นประเทศที่มีการพัฒนาที่สมดุลในทั้ง 3 ปัจจัยหลักของการจัดอันดับ ได้แก่ ความรู้ เทคโนโลยี และความพร้อมสำหรับอนาคต ส่วนประเทศที่ยังอยู่ในระดับรองลงมาอาจมุ่งเน้นแนวทางในการพัฒนาที่แตกต่างกันตามบริบทของแต่ละประเทศ 

"โดยปัจจัยด้านความรู้ ตัวชี้วัด Computer science education index ที่เพิ่มเข้ามาใหม่ในปีนี้ ไทยก็ยังมีขีดความสามารถในระดับปานกลาง ที่ควรให้ความสำคัญในการยกระดับศักยภาพการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ให้ดียิ่งขึ้น และจากการพัฒนารุดหน้าของ AI ก็ทำให้ไทยต้องส่งเสริมพัฒนาการคิดค้นวิจัยด้าน AI ของไทยในเชิงพาณิชย์มากขึ้น รวมถึงปรับปรุงพัฒนานโยบายและกฎหมายที่มีความเกี่ยวข้องกับ AI ให้เท่าทัน ซึ่งจะส่งผลต่อการปรับอันดับดีขึ้นของ 2 ตัวชี้วัดใหม่ด้าน AI คือ AI articles และ AI policies passed into law ได้ในท้ายที่สุด"

นอกจากนี้ ยังบอกเพิ่มว่า ไทยต้องเร่งให้ความสำคัญในการเพิ่มการจ้างงานบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคนิค (Scientific and technical employment) และยกระดับตัวชี้วัดด้านการศึกษาที่ไทยมีอันดับค่อนข้างรั้งท้าย รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ทุกภาคส่วนในเรื่องของการปรับปรุงพัฒนานโยบายและกฎหมายที่มีความเกี่ยวข้องกับการเดินทางเข้ามาทำงานของชาวต่างชาติที่มีความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยี, การจดสิทธิบัตร, การวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์, ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ และการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลให้ดีมากยิ่งขึ้น 

“เมื่อพิจารณาในมุมของประเทศไทย เราควรให้ความสำคัญกับประเด็นที่เป็นรากฐานของการพัฒนาคือ การพัฒนาทรัพยากรบุคคลทั้งในระบบการศึกษาและที่อยู่ในกำลังแรงงาน โดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และ AI ที่สะท้อนผ่านผลการจัดอันดับที่ค่อนข้างต่ำในหลายตัวชี้วัด และยังต้องเร่งปรับปรุงด้านกฎหมายและกฏระเบียบให้ก้าวทันเทคโนโลยี และปรับปรุงกลไกที่สนับสนุนให้เกิดการลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีให้มีความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น" คุณธีรนันท์กล่าวในตอนท้าย

อย่างไรก็ดี ปีนี้มีข่าวสารและช่องทางพัฒนาทักษะด้าน AI ให้คนไทยทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชนหลากหลายด้าน น่าจับตาว่าในปี 2568 คะแนนด้าน AI ของไทยจะอยู่ตรงไหนของตารางแสดงผลการจัดอันดับ

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

สู่ Siri ยุคใหม่ ! เผย Apple เตรียมเปิดตัว LLM Siri ในปี 2026 ท้าแข่ง ChatGPT โดยเฉพาะ

OpenAI ถือเป็นหนึ่งในบิ๊กเทคฯ ยักษ์ใหญ่ที่มีความก้าวกระโดดด้านการพัฒนา AI หลังจากสร้างกระแสด้วยแชทบอท ChatGPT ไปเมื่อปลายปี 2022 ซึ่งเมื่อปีที่แล้วก็เพิ่งมีดีลกับ Apple ในการนำ Cha...

Responsive image

American Airlines เปิดตัวระบบจัดการคิวอัจฉริยะ เทคโนโลยีเสียงเตือนสองระดับ ปิดเกมสายแซงคิวขึ้นเครื่อง

เคยเจอไหม? คนแซงคิวขึ้นเครื่องจนวุ่นวายที่ประตูทางขึ้น หลังจากนี้จะไม่มีอีกต่อไป เมื่อ American Airlines แก้ปัญหานี้ด้วยเทคโนโลยีเสียงเตือนอัจฉริยะ ที่จะจับทุกความพยายามแอบขึ้นเครื...

Responsive image

Soft Power และ Technology คือสิ่งที่ประเทศไทยจะเดินต่อไปในอีก 5 ปีข้างหน้า สรุปแนวคิด ทักษิณ ชินวัตร

ดร.ทักษิณ ชินวัตรเผยวิสัยทัศน์ 5 ปีข้างหน้าของประเทศไทยในงาน Forbes Global CEO Conference เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ซอฟต์พาวเวอร์ และการปรับโครงสร้างภาษีเพื่อเสริมสร้างความสามารถ...