JMART เผยแผนลงทุนขยายธุรกิจใหม่ด้านโลจิสติกส์ เพื่อเชื่อมโยงในเครือข่ายของกลุ่มบริษัท กว่า 7,200 จุดทั่วประเทศภายในปีนี้ พร้อมศึกษาโอกาสธุรกิจนายหน้าประกันภัยและการเงิน คาดเห็นภาพชัดเจน Q4/2564 พร้อมเผยกลยุทธ์ดำเนินธุรกิจปี 2564 เดินหน้านำดิจิทัลแพลตฟอร์มเสริมแกร่ง สร้างโอกาสการเติบโตแบบ J-Curve
คุณอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART ในฐานะบริษัทโฮลดิ้งที่มีกลยุทธ์การลงทุนแบบ Investment Holding Company (IHC) เปิดเผยว่า มั่นใจปี 2564 ผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มจะสามารถทำกำไร All Time High ได้ต่อเนื่องอีกปี วางเป้าหมายปี 2564 กำไรเจมาร์ทจะเติบโต 50% ซึ่งยังไม่รวมธุรกิจใหม่ที่กลุ่มบริษัทจะต่อยอดการเติบโตในช่วงต่อจากนี้ และการปรับโครงสร้างการบริหาร เพื่อสร้าง Business Model ให้เป็นลักษณะ J-Curve ภายหลังจากการปิดดีลร่วมทุนใหญ่กับพันธมิตรระดับโลก ทั้ง เคบี คุกมินการ์ด บริษัทผู้ให้บริการบัตรเครดิตเบอร์ต้นจากเกาหลีใต้ และ TIS Inc จากญี่ปุ่น ติดปีกทั้งทางด้านเงินทุน และเทคโนโลยีจากบริษัทระดับโลก
นอกจากนี้ ในปี 2564 ในกลุ่มเจมาร์ท ยังเปิดตัวแผนการลงทุนใหม่ 2 โครงการเพื่อต่อยอดธุรกิจให้บริการทั้งด้านค้าปลีกและการเงิน โดยเน้นเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุน โดยโครงการแรกคือ แผนการเข้าลงทุนขยายกิจการด้านโลจิสติกส์ เพื่อเชื่อมโยงธุรกิจค้าปลีกของกลุ่มเจมาร์ท ทั้งหมดภายในประเทศ เช่น หน้าร้านของเจมาร์ท กว่า 200 สาขา สาขาของซิงเกอร์ ที่คาดจะมีกว่า 7,000 สาขาภายในปีนี้ รวมถึง สาขาของ IT Junction และ JMT โดยมีการลงทุนในพาร์ทเนอร์ซึ่งเป็นบริษัทที่มีโครงข่ายระบบโลจิสติกส์เข้ามาเชื่อมโยงจุดต่างๆ ของสาขา และการรับส่งสินค้าภายในกลุ่มจะทำให้ง่ายขึ้นด้วยปลายนิ้วสัมผัสของลูกค้า และงบประมาณเงินลงทุนที่ต่ำสำหรับกลุ่มเจมาร์ท เนื่องจาก ไม่ต้องลงทุนสาขาและทรัพยากรบุคคลและสามารถสร้างรายได้จากการขนส่งให้กับกลุ่มบริษัท ภายใน Ecosystem ที่มีอยู่ในปัจจุบัน
อีกทั้ง JMT จะเป็นผู้จัดหาทรัพยากรในด้านอสังหาริมทรัพย์ เช่น ที่ดิน จาก NPA ในระบบ เพื่อสร้างผลตอบแทนของการลงทุนที่ดีที่สุดสำหรับการสร้าง Logistic Hub ของการดำเนินการดังกล่าว และอยู่ภายใต้การพัฒนา Logistic Platform ทางด้านเทคโนโลยีซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด และพาร์ทเนอร์
นอกจากนี้ กลุ่มเจมาร์ท ยังเตรียมรุกธุรกิจนายหน้าประกันภัย และการเงิน (Centralized Insurance and Finance Broker) จากจุดแข็งของกลุ่มเจมาร์ท ที่มีฐานข้อมูลลูกค้าในระบบราว 6.7 ล้านคน และกลุ่มเจมาร์ทมีธุรกิจประกันภัย ได้แก่ บริษัท เจพี ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะเสริมแกร่งด้วยเทคโนโลยีจาก บริษัท เจเวนเจอร์ส จำกัด และ TIS Inc. ผลักดันให้กลุ่มเจมาร์ทรุก InsurTech คาดว่าจะเห็นภาพชัดภายในไตรมาส 4/2564
“การวาง Platform เรื่องโลจิสติกส์ และนายหน้าประกันภัยและสินเชื่อ เป็นสิ่งที่เจมาร์ทจะเติมเต็มศักยภาพของกลุ่มบริษัทที่มีทั้งในธุรกิจจัดจำหน่ายมือถือ ซิม AIS สินเชื่อส่วนบุคคล เครื่องใช้ไฟฟ้า และบริการอื่นๆ ของกลุ่มเจมาร์ท จะเข้าไปใกล้กับผู้บริโภคมากขึ้น ในระดับจังหวัด อำเภอ และตำบล หรือในระดับหมู่บ้าน เพื่อรองรับการปฏิวัติของเทคโนโลยี (Disruption) ของธุรกิจค้าปลีก และการเงิน และยุคของ Social Distancing ซึ่งจะเชื่อมโยงจากระบบ Online to Offline อย่างมีประสิทธิภาพ และเข้าถึงผู้บริโภค และเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคให้มากที่สุด” คุณอดิศักดิ์ กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานปี 2564 ยังคงมีธุรกิจด้านการเงินเป็นบริษัทที่สร้างฐานกำไร นำโดย บมจ.เจเอ็มที (JMT) ที่คาดว่าจะสามารถบันทึกสถิติสูงสุดใหม่ได้ จากการที่ JMT สามารถบริหารหนี้และจับเก็บหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้ง สามารถตัดต้นทุนกองหนี้ได้เพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยสร้างฐานกำไรให้แข็งแกร่ง โดยคาดว่า ปีนี้จะมีกองหนี้ที่ตัดมูลค่าเงินลงทุนแล้วอีกประมาณ 6,000 – 10,000 ล้านบาท จากปี 2563 มีกองหนี้ที่ตัดต้นทุนจำนวน 43, 000 ล้านบาท จากพอร์ตบริหารหนี้ทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 207,051 ล้านบาท จึงคาดว่า JMT กำไรปีนี้จะเติบโตได้ก้าวกระโดด หรือเติบโตอย่างน้อย 30% ส่งผลดีต่อ JMART เนื่องจากถือหุ้น JMT สัดส่วน 52.8%
สำหรับ บมจ.ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) รุกปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อจำนำทะเบียนรถมากขึ้น โดยคาดว่าพอร์ตสินเชื่อจะแตะที่ระดับ 10,000 ล้านบาทได้ในปลายปี 2564 นี้ และ บมจ. เจเอเอส แอสเซ็ท (J) จะมีโครงการศูนย์การค้าแห่งใหม่ “JAS GREEN VILLAGE – KUBON” เปิดตัวในไตรมาส 4/2564 นี้ พร้อมรุกธุรกิจด้าน Senior Living และการขยายธุรกิจเพื่อเชื่อมโยง NPA Ecosystem ของ JMT ซึ่งเป็นโครงการ Synergy ร่วมกันของบริษัทในกลุ่ม ที่สามารถสร้างกระแสรายได้จากการอสังหาริมทรัพย์ อีกมาก
ขณะที่ บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด (Jaymart Mobile) ซึ่งเป็นบริษัทแกน ปีนี้รับปัจจัยบวกจาก 5G การรุกช่องทางขายใหม่ๆ และการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง รวมถึง บริษัทในกลุ่มทุกบริษัทที่เดินหน้าสร้างผลงาน และแผนการ Synergy ตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งหากมีผลการดำเนินงานพร้อม จะผลักดันบริษัทในกลุ่มเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มเติม ในปีหน้าเป็นต้นไป
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด