เทคโนโลยีใหม่! แค่ตรวจเลือดก็รู้ผลอัลไซเมอร์ได้แบบไม่ต้องสแกน

อัลไซเมอร์

การวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์อาจไม่ต้องพึ่ง PET scan หรือการเจาะน้ำไขสันหลังอีกต่อไป! เพราะตอนนี้มีการตรวจเลือดแบบใหม่ ที่ใช้วัดสัดส่วนของโปรตีนในเลือด ที่สามารถบอกได้ว่าผู้ป่วยมีแนวโน้มจะเป็นอัลไซเมอร์หรือไม่ 

ปัจจุบันโรคอัลไซเมอร์พบได้มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งในข้อมูลปี 2025 คาดว่าจะมีผู้สูงวัยกว่า 7.2 ล้านคนเป็นโรคนี้ ซึ่งความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามอายุ เช่น

  • อายุ 65–74 ปี: พบประมาณ 5%
  • อายุ 85 ปีขึ้นไป: พบมากกว่า 33%

ปกติแล้วหากสงสัยว่าเป็นอัลไซเมอร์ แพทย์ต้องใช้วิธีตรวจที่ทั้งแพงและลำบาก เช่น PET scan ที่ต้องใช้สารกัมมันตรังสี หรือเจาะน้ำไขสันหลังเพื่อตรวจ ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่อยากทำ เพราะมันทั้งเจ็บและมีค่าใช้จ่ายสูง แต่ตอนนี้มีทางเลือกใหม่ที่ง่ายขึ้น นั่นคือ “การตรวจเลือด”

ตรวจเลือดแล้วรู้อะไร ? 

การตรวจเลือดนี้จะวัดระดับของโปรตีน 2 ชนิดในเลือด ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการเกิดคราบอะไมลอยด์ (amyloid plaques) ในสมอง ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญญาณหลักของโรคอัลไซเมอร์

ผลการศึกษาล่าสุดชี้ว่า การตรวจเลือดให้ผลใกล้เคียงกับการวินิจฉัยโดยแพทย์เฉพาะทาง และสามารถสั่งตรวจได้ทั้งโดยแพทย์ทั่วไปและนักประสาทวิทยา

ใครควรตรวจ

การตรวจเลือดนี้เหมาะกับคนอายุ 55 ปีขึ้นไป ที่มีอาการความจำแย่ลง รือมีปัญหาทางความคิด การตรวจนี้ใช้สำหรับคนที่แพทย์ตรวจแล้วว่าอาจเริ่มมีอาการสมองเสื่อมจริง ๆ เท่านั้น ไม่ใช่การตรวจเพื่อคัดกรองคนทั่วไปที่ยังไม่มีอาการใด ๆ

ซึ่งถ้าตรวจพบความเสี่ยงของอัลไซเมอร์ แพทย์สามารถสั่งยารักษาเพื่อช่วยชะลออาการได้เร็วขึ้น เช่น ยาลีคาเนแมบ (lecanemab) หรือโดนาเนแมบ (donanemab) ที่จะช่วยชะลอการเสื่อมของสมองได้ราว 30–40% 

เปรียบเทียบง่าย ๆ ถ้าไม่เริ่มกินยา คนไข้ที่ขับรถเองได้ตอนนี้ อาจจะดูแลตัวเองไม่ได้อีกใน 5 ปีข้างหน้า แต่ถ้าเริ่มรักษาเร็ว จะช่วยยืดเวลาที่ยังดูแลตัวเองได้ให้นานขึ้นเป็นประมาณ 8 ปี

ใช้ตรวจคนทั่วไปได้ไหม

สำหรับคนทั่วไปที่ยังไม่มีอาการ ยังไม่แนะนำให้ใช้ตรวจ เพราะการมีคราบอะไมลอยด์ในสมองไม่ได้แปลว่าต้องอัลไซเมอร์เสมอไป และยาที่ใช้รักษาก็มีผลข้างเคียง ไม่ว่าจะเป็น คลื่นไส้ ปวดหัว หรือในบางรายอาจมีอาการบวมหรือเลือดออกในสมอง ซึ่งอาจส่งผลรุนแรงได้

มีโอกาสตรวจผิดไหม

ถ้าถามว่ามีโอกาสตรวจผิดไหม ต้องบอกก่อนว่ามี การตรวจอาจให้ผล false positive คือการตรวจเจอ แต่ไม่ได้เป็น หรือผล false negative หรือการตรวจไม่เจอ แต่เป็นโรคได้ โดยในการศึกษาของ Mayo Clinic พบว่ามีผู้ได้รับผล false negative ประมาณ 5% และผล false positive ประมาณ 18%

ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าคนไข้เป็นโรคไต หรือมีปัญหาการนอน เช่น นอนกรนรุนแรง ก็อาจทำให้มีอะไมลอยด์ในสมองได้เหมือนกัน แต่ไม่ใช่อัลไซเมอร์ ดังนั้นแพทย์มักจะสั่งตรวจควบคู่กับการตรวจไตหรือสอบถามประวัติอื่น ๆ เพิ่มเติม

ในมุมมองของแพทย์การตรวจเลือดนี้จะช่วยให้นักวิจัยเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงในร่างกายเกี่ยวข้องกับอาการของผู้ป่วยอย่างไรได้ชัดเจนขึ้น และช่วยให้เริ่มรักษาได้เร็วขึ้นในช่วงที่สมองยังทำงานได้ดีอยู่

สรุป

ดังนั้น การตรวจเลือดแบบใหม่นี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในวงการแพทย์ เพราะช่วยให้การวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์เร็วขึ้น ง่ายขึ้น และไม่ต้องเจ็บตัวมาก แต่ต้องใช้ในกลุ่มคนที่เหมาะสม ในเวลาที่เหมาะสม และควรทำควบคู่กับการตรวจและประเมินจากแพทย์เสมอ

อ้างอิง: livescience

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

ซีอีโอ AWS ชี้ AI Agents จะเปลี่ยนโลกยิ่งกว่าอินเทอร์เน็ต เราอาจได้เห็น AI Agent พันล้านตัวรันองค์กร

AWS ซีอีโอประกาศชัด AI Agents จะสร้างผลกระทบต่อโลกธุรกิจยิ่งกว่าอินเทอร์เน็ตและ Cloud พร้อมเปิดยุคที่ ‘AI Agent พันล้านตัว’ ทำงานอัตโนมัติอยู่หลังองค์กรทั่วโลก เร่งผลตอบแทนทางธุรกิ...

Responsive image

วิกฤตสมองไหลใน Apple ไม่จบ ! ล่าสุด Meta ดึงตัว Alan Dye หัวหน้าทีมดีไซน์ Apple ผู้คุมออกแบบ Liquid Glass ใน iOS26

เจาะลึกสมองไหลใน Apple ปี 2025 เมื่อผู้เชี่ยวชาญ AI หลายคนย้ายไป Meta, OpenAI และ Cohere ส่งผลต่ออนาคต Apple Intelligence...

Responsive image

เจาะแผน 'Quick Win' รัฐ-เอกชน ผนึกกำลังดันครีเอเตอร์ไทยสู่อาชีพมั่นคง

ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่จุดเปลี่ยน เมื่อเรากลายเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศทั่วโลกที่ 'ยอดผู้ใช้งาน TikTok แซงหน้า YouTube' อย่างชัดเจน ปรากฏการณ์นี้สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขอ...