'ไคไท่หยินหาง (จงกั๋ว)' คือชื่อของ ธนาคารกสิกรไทย (ประเทศจีน) ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยกสิกรไทยได้รับอนุมัติจากทางการจีน (CBRC) ให้ตั้งธนาคารพาณิชย์ท้องถิ่นจดทะเบียน (LII) และมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองเซินเจิ้น อีกทั้งยังพร้อมเปิดสาขาที่เซี่ยงไฮ้ รองรับการเติบโตทางด้านการค้าและการลงทุนจากเศรษฐกิจจีน โดยเน้นกลุ่มธุรกิจที่มีการค้าการลงทุนระหว่างจีนและประเทศไทย รวมทั้งต่อยอดไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนและเชื่อมโยงเศรษฐกิจระหว่างภูมิภาค ในฐานะธนาคารดิจิทัลแห่งภูมิภาค AEC+3 (จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้)
คุณบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการ ธนาคารกสิกรไทย ซึ่งเดินทางมาในพิธีเปิดงาน ณ ประเทศจีนด้วยตนเอง ได้เปิดเผยว่า "ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจของธนาคาร เนื่องจากตลาดจีนมีขนาดใหญ่และมีการเติบโตทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อในประเทศสูง อีกทั้งยังมีแผนการพัฒนาเศรษฐกิจที่จะสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับลูกค้าบรรษัทและลูกค้าบุคคลของธนาคารมากมาย เช่น นโยบาย 'One Belt, One Road' และ แผนการพัฒนาประเทศที่มุ่งเน้นการสร้างรายได้เพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับคนจีน"
จีนเป็นประเทศที่กำลังจะก้าวมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในทศวรรษหน้า โดยปัจจุบันนักธุรกิจจีนเริ่มหันมาลงทุนในตลาด AEC มากขึ้น ซึ่งในเชิงยุทธศาสตร์แล้วทำเลที่ตั้งของประเทศไทยสามารถตอบโจทย์ในการเป็นฐานการลงทุนได้มากที่สุด เนื่องจากมีประสิทธิภาพในเชิงโครงสร้างและนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐที่เพียบพร้อม ไม่ว่าจะเป็นนโยบาย EEC (Eastern Economic Corridor) ที่มุ่งผลักดันพัฒนาศักยภาพอุตสาหกรรมภาคการผลิตในบริเวณอีสเทิร์นซีบอร์ด ที่เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมโยงไปในตลาด AEC อื่น ๆ ได้อีก
ธนาคารกสิกรไทยมองว่าปัจจุบันการเป็นธนาคารอาจไม่เพียงพอ โดยเห็นความสำคัญในการเชื่อมโยงธุรกิจ การค้า การลงทุนในภูมิภาค การผลักดันตัวเองให้เป็นพันธมิตรทางธุรกิจแห่ง AEC+3 เชื่อมโยงโอกาสให้กับลูกค้า ซึ่งไม่เพียงแต่บริการด้านการเงินเท่านั้น ทางธนาคารยังมีบริการในด้านการให้คำปรึกษาการลงทุน และการจับคู่ธุรกิจ เพื่อช่วยให้การดำเนินธุรกิจในต่างประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
สำหรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 13 รัฐบาลจีนริเริ่มโครงการ ‘หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง’ (One Belt, One Road – OBOR) ที่จะเชื่อมโยงจีนกับทวีปยุโรป เอเซีย อเมริกาเหนือ และ แอฟริกาเข้าไว้ด้วยกันด้วยเส้นทางสายไหมทางบกและทะเล ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นการค้าและการลงทุนระหว่างจีนและกลุ่มประเทศในเส้นทาง OBOR ทำให้อุตสาหกรรมต่าง ๆ ในจีนในกลุ่มนวัตกรรมภาคการผลิตนั้น ได้รับการสนับสนุนโดยยุทธศาสตร์ ‘Made in China 2025’ ของรัฐบาลจีน มีความสอดคล้องเป็นอย่างยิ่งกับยุทธศาสตร์ “Thailand 4.0” ของไทย
อีกทั้ง ในมุมของรัฐบาลไทยได้มีการริเริ่มโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกของไทย หรือ EEC ตามแผนนโยบาย Thailand 4.0 ที่มุ่งพัฒนาศักยภาพประเทศไทยโดยการเสริมสร้างศักยภาพภาคการผลิตในเชิงนวัตกรรม ซึ่งจะช่วยดึงดูดธุรกิจจีนให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพื่อใช้เป็นฐานขยายธุรกิจต่อไปในภูมิภาค นำไปสู่การขยายตัวด้านการลงทุนและการค้าของจีนในเออีซีผ่านไทยเป็นตัวเชื่อม ภายใต้การเกื้อหนุนระหว่าง “Made in China 2025” และ ”Thailand 4.0” อุตสาหกรรมที่มีโอกาสดีจะเป็นอุตสาหกรรมที่อยู่ในห่วงโซ่มูลค่าของภูมิภาค ระหว่างจีน-ไทย-เออีซี เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค รถยนต์ ระบบควบคุมและหุ่นยนต์ การแพทย์และการดูแลสุขภาพ การท่องเที่ยว การผนึกกำลังดังกล่าวจะช่วยชี้นำธนาคารกสิกรไทยในการวางแนวทางการดำเนินธุรกิจในจีน
สำนักงานใหญ่ของธนาคารกสิกรไทย (ประเทศจีน) ตั้งอยู่ที่ใจกลางเมืองเซินเจิ้นโดยได้พื้นที่ชั้น 59 ทั้งชั้นบนตึกสูง เรียกได้ว่าอยู่ในจุดที่เอื้อต่อการพัฒนาด้านนวัตกรรม เพราะเซินเจิ้นเป็นศูนย์กลางของเขตเศรษฐกิจใหม่ (กวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า) ทั้งยังได้ถูกขนาดนามว่าเป็น ‘ซิลิค่อนวัลเลย์แห่งเอเชีย’ และเป็นสถานที่ตั้งของบริษัท Startup ด้าน Fintech รวมถึงยูนิคอร์นต่าง ๆ พร้อมกันนี้ธนาคารกสิกรไทยยังมีเครือข่ายบริการ ได้แก่ สาขาเซินเจิ้น (และสาขาย่อยหลงกั่ง) สาขาเฉิงตู สาขาเซี่ยงไฮ้ สาขาฮ่องกง สำนักงานผู้แทน ณ นครปักกิ่ง และสำนักงานผู้แทน ณ เมืองคุนหมิง ซึ่งการได้รับใบอนุญาตให้ตั้งเป็นธนาคารพาณิชย์ท้องถิ่นจดทะเบียนจะทำให้ธนาคารสามารถให้บริการลูกค้าบรรษัทได้อย่างครบวงจร
นอกเหนือจากการตั้งธนาคารพาณิชย์ท้องถิ่นจดทะเบียนเต็มรูปแบบแล้ว ธนาคารยังได้รับการอนุมัติให้จัดตั้งสาขาที่ 3 เพิ่มเติม ณ นครเซี่ยงไฮ้ เขตผู่ตง ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการเงินของจีนและของโลกในอนาคต อีกทั้งสาขาดังกล่าวยังอยู่ในเขตเศรษฐกิจการค้าเสรีเซี่ยงไฮ้ (Shanghai FTZ) และเป็นบริเวณที่มีธุรกรรมการค้ากับกลุ่มประเทศอาเซียนสูง มียอดธุรกรรมในปี 2559 ถึง 92,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นสัดส่วนกว่า 21% ของมูลค่าการค้าระหว่างจีนกับอาเซียนทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีปริมาณการลงทุนจากเซี่ยงไฮ้ไปยังประเทศไทยและกลุ่มประเทศอาเซียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นการเปิดสาขาเซี่ยงไฮ้จึงทำให้ธนาคารสามารถให้บริการและขยายฐานลูกค้าในนครเซี่ยงไฮ้และพื้นที่ใกล้เคียง เช่น มณฑลเจ้อเจียง มณฑลเจียงซู และมณฑลชานตง โดยในช่วงเริ่มต้นสาขาเซี่ยงไฮ้จะเน้นการบริการลูกค้าบรรษัทของไทยและจีนที่ค้าขายระหว่างจีนและกลุ่มประเทศอาเซียน และลูกค้าบรรษัทจีนที่ต้องการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย
คุณวงศ์พัฒน์ พันธุ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (ประเทศจีน) เผยว่า กสิกรไทยต้องการเชื่อมโยงจีนสู่ไทย และไทยสู่จีน โดยปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามีอุตสาหกรรมไทยที่เริ่มขยายตัวในประเทศจีน ไม่ว่าจะเป็นสินค้าแปรรูป รวมถึงอุตสาหกรรมอื่นที่ต้องการเข้ามา ซึ่งกลยุทธ์ของธนาคารที่ขาดไม่ได้เลยคือเรื่องของเทคโนโลยี โดยมองว่าจะต้องมีการพัฒนาในด้านของนวัตกรรมดิจิทัล โดยธนาคารยังวางแผนจะร่วมมือกับกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ หรือบริษัท Fintech ในการพัฒนา Digital Banking Platform นอกจากนี้ในปัจจุบันกสิกรไทยยังมีการจับมือร่วมกับ Wechat ซึ่งเป็นระบบ Payment ที่สำคัญในจีน หากเชื่อมโยงบริการของกสิกรไทยในประเทศจีน และบริการของธนาคารกสิกรไทยในประเทศไทย และประเทศอื่น ๆ ในกลุ่มประเทศอาเซียน จะทำให้ธนาคารก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการชำระเงินในภูมิภาค AEC+3 ได้
ทั้งนี้ในโอกาสที่ธนาคารกสิกรไทยได้รับอนุมัติจัดตั้งเป็นธนาคารพาณิชย์ท้องถิ่นจดทะเบียนในจีน ธนาคารจึงได้ร่วมมือกับกรมพาณิชย์แห่งมณฑลกวางตุ้งจัดพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมพาณิชย์แห่งมณฑลกวางตุ้งและธนาคารกสิกรไทย ในความร่วมมือและอำนวยความสะดวกระหว่างภาคธุรกิจจากมณฑลกวางตุ้งที่สนใจเข้าใจลงทุนในไทยเนื่องจากปัจจุบันภาคธุรกิจมีแนวโน้มที่จะเข้ามาลงทุนในไทยเพื่อใช้เป็นฐานในการทำการค้าในภูมิภาค AEC และภาคธุรกิจไทยที่สนใจเข้ามาลงทุนและทำการค้าในเขตภาคใต้ของประเทศจีน ซึ่งปัจจุบันเป็นแหล่งการค้าสำคัญของภาคธุรกิจไทย
ด้านคุณเจิ้ง เจี้ยนหลง อธิบดีกรมพาณิชย์แห่งมณฑลกวางตุ้ง กล่าวว่า มณฑลกวางตุ้งและไทยถือว่ามีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้งในมุมของการลงทุน นักลงทุนจากกวางตุ้งเป็นนักลงทุนจีนในไทยที่ใหญ่ที่สุดด้วยมูลค่ากว่า 390 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือแม้กระทั่งการเชื่อมโยงด้านวัฒนธรรม เนื่องจากชาวจีนเชื้อสายแต้จิ๋วในกวางตุ้งคิดเป็น 79% ของชาวจีนโพ้นทะเลในประเทศไทย เปรียบไทยและกวางตุ้งเป็นเสมือนเมืองพี่เมืองน้อง ดังนั้นการร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นการยกระดับความสัมพันธ์ไทย-จีนไปอีกหนึ่งขั้นในมิติของการค้าการลงทุนผ่านแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ พร้อมสร้างเครือข่ายทางธุรกิจระหว่างกัน
สำหรับนโยบาย 'Made in China 2025' จะเน้นการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในอุตสาหกรรมการผลิต เช่น สินค้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมไอที ไฮเทคโนโลยีและกลุ่มฟินเทค ถึงแม้ว่าปัจจุบันจีนจะมีบริษัทฟินเทคยูนิคอร์น (กิจการที่มีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพียง 8 แห่ง เมื่อเปรียบเทียบกับสหรัฐอเมริกาที่มียูนิคอร์น 12 แห่ง แต่มูลค่าบริษัทฟินเทคยูนิคอร์นของจีนขณะนี้ได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 96.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้บริษัทฟินเทคยูนิคอร์นของจีนมีมูลค่าสูงที่สุดในโลก
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด