ตลาดลักชูจีนวิกฤติหนัก แบรนด์หรูต้องปรับตัวอย่างไร เพราะการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปจากพิษเศรษฐกิจจีน

ตลาดสินค้าหรูในจีนกำลังเผชิญกับภาวะตกต่ำครั้งใหญ่ ยอดขายที่เคยคาดการณ์ว่าจะพุ่งสูงขึ้นหลังยุคโควิดกลับชะลอตัวลงอย่างรุนแรง โดยผู้บริโภคชาวจีนลดการใช้จ่ายไปกับสินค้าแบรนด์หรูอย่างกระเป๋าแบรนด์เนมและนาฬิกา สืบเนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงรสนิยมการใช้ชีวิต

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทสินค้าแบรนด์เนมจากยุโรป เช่น LVMH, Kering และ Burberry ได้ลงทุนมหาศาลในตลาดจีน โดยคาดหวังการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2011-2021 มียอดขายโตกว่าสี่เท่า โดยมีมูลค่าถึง 6.6 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 2.26 ล้านล้านบาท แต่ปัจจุบันยอดขายในจีนกำลังลดลงอย่างรวดเร็วและคาดว่าจะลดลงถึง 15% ในปีนี้

สัญญาณบ่งชี้ถึงความซบเซาของตลาดมีให้เห็นชัดเจน ตั้งแต่การที่แบรนด์ดังอย่าง Hermes ต้องลดเงื่อนไขการซื้อสินค้า ทางฝั่ง Kering และ Burberry ต้องลดราคาสินค้ามากถึง 50% เพื่อระบายสต็อก พนักงานขายที่เคยถูกตามตื๊อจากลูกค้ากลับต้องพยายามติดต่อลูกค้าวีไอพี และที่สำคัญคือความล่าช้าในการเปิดตัวร้าน Flagship ของ Louis Vuitton ในกรุงปักกิ่ง ซึ่งเดิมทีวางแผนจะเปิดในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2024 แต่ปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเปิดเมื่อไหร่ ทั้งหมดนี้เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนของตลาดสินค้าหรูหราในจีนที่กำลังประสบปัญหา

สาเหตุสำคัญที่ทำให้ตลาดสินค้าหรูหราในจีนทรุดตัวลง ประกอบด้วยหลายปัจจัย ได้แก่

  • เศรษฐกิจซบเซา: วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ในจีนส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ทำให้ผู้คนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือย
  • นโยบายปราบปรามคอร์รัปชัน: นโยบายของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ส่งผลให้ข้าราชการและผู้มีอำนาจไม่กล้าโอ้อวดความร่ำรวย และทำให้การซื้อสินค้าหรูหราเพื่อแสดงฐานะกลายเป็นเรื่องเสี่ยงและไม่สมควร
  • ค่านิยมที่เปลี่ยนไปของคนรุ่นใหม่: คนรุ่นใหม่ชาวจีนให้ความสำคัญกับประสบการณ์ เช่น การท่องเที่ยว การพัฒนาตัวเอง และการลงทุนในสุขภาพ มากกว่าการซื้อสินค้าแบรนด์เนมเพื่อแสดงสถานะทางสังคม พวกเขาแสวงหาคุณค่าและความหมายที่มากกว่าเพียงแค่ชื่อเสียงของแบรนด์ ทำให้ลดการซื้อสินค้าแบรนด์เนม โดยบางส่วนหันไปซบผิงตี้หรือการเลือกที่คุณภาพมากกว่าชื่อเสียงของแบรนด์
  • การขยายตัวอย่างรวดเร็วในอดีต: การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดสินค้าหรูหราในจีนช่วงที่ผ่านมา อาจทำให้ตลาดอิ่มตัว ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น และแบรนด์ต่างๆ อาจต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น

แม้ว่าบางแบรนด์เช่น Hermes และ Prada จะยังคงมีผลประกอบการที่ดีกว่าแบรนด์อื่นๆ แต่ก็ยังถือว่าต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ และสะท้อนให้เห็นว่าตลาดโดยรวมยังคงมีความเปราะบาง นักลงทุนต่างจับตาดูว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนจะสามารถฟื้นฟูความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภคได้มากน้อยเพียงใด และแบรนด์หรูจะปรับตัวอย่างไรเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดและค่านิยมของผู้บริโภคชาวจีน ที่ให้ความสำคัญกับคุณค่าและประสบการณ์ที่มากกว่าเพียงแค่ชื่อเสียงของแบรนด์

อ้างอิง: bloomberg

ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด

No comment

RELATED ARTICLE

Responsive image

จีนพัฒนา ‘Vision Heat’ เซนเซอร์มองทะลุควัน-หมอก ความละเอียด 4K ไม่ต้องใช้ความเย็น เห็นภาพความร้อนเหมือนตาของงู!

นักวิจัยจีนพัฒนาเซนเซอร์อินฟราเรด 4K แรงบันดาลใจจากตาของงู ใช้ Quantum Dots ผสาน CMOS ทำงานได้ที่อุณหภูมิห้อง เตรียมปฏิวัติกล้องสมาร์ทโฟนและรถไร้คนขับให้มองเห็นทะลุความมืดและหมอกคว...

Responsive image

เด็ก 19 สร้างนวัตกรรม ถุงมือพิมพ์งานในอากาศ จากการเรียนคอร์สออนไลน์ฟรี MIT จนคว้ารางวัล SxSW Sydney 2025

พบกับ Freesia Gaul เด็กวัย 19 ที่ย้ายโรงเรียนถึง 13 ครั้ง แต่ใช้คอร์สเรียนฟรีจาก MIT สร้างถุงมือ VR พิมพ์งานกลางอากาศจนคว้ารางวัล SxSW และเปิด Startup ได้สำเร็จ...

Responsive image

Google Labs เปิดตัว ‘CC’ AI Agent สาย Productivity เลขาส่วนตัวอัจฉริยะ สรุปงาน–ส่งเมล–นัดประชุมให้เสร็จในคลิกเดียว

Google Labs เปิดตัว ‘CC’ AI Agent ผู้ช่วยสาย Productivity ที่เชื่อม Gmail, Calendar และ Drive เข้าด้วยกัน ช่วยสรุปงาน ร่างอีเมล และจัดการนัดหมายแบบอัตโนมัติ เปลี่ยน Inbox ให้กลายเป...