Netflix เตรียมขึ้นราคาสำหรับแพ็กเกจ Basic และ Premium ในสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส และถึงแม้จะออกนโยบายห้ามแชร์รหัส แต่ Netflix กลับมียอดผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น !

ทำไม Netflix ยอดผู้ใช้งานเพิ่ม แม้จะขึ้นราคา

การปรับขึ้นราคาในครั้งนี้ สำหรับแผน Basic จะขึ้นเป็น $11.99 (ประมาณ 430 บาท) และในแผนพรีเมียมจะขึ้นเป็น $22.99 (ประมาณ 830 บาท) ซึ่งแผนการปรับราคาในครั้งนี้ออกมาพร้อม ๆ กับการเปิดเผยยอดผู้ใช้งานใหม่ของ Netflix ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาที่เพิ่มขึ้นเกือบ 9 ล้านคนทั่วโลก

เพิ่มสูงเกินกว่าที่นักวิเคราะห์ Wall Street คาดคิดไว้ที่จำนวน 6 ล้านราย และทาง Netflix ก็คาดการณ์ว่าในไตรมาสปัจจุบันก็จะมียอดผู้ใช้ใหม่เพิ่มขึ้นในจำนวนใกล้ ๆ กับไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มูลค่าหุ้นของ Netflix เพิ่มขึ้น 13% ท่ามกลางความกดดันด้านแรงงานในฮอลลีวูด

และการที่ Netflix มียอดผู้ใช้เพิ่มขึ้นในช่วงนี้ เนื่องจากมีรายการภาพยนตร์ในแพลตฟอร์มจำนวนมากที่ถูกผลิตขึ้นในประเทศอื่น ๆ นอกเหนือจากฮอลลีวูด และลูกค้าใหม่ส่วนใหญ่ก็มาจากหลายประเทศทั่วโลก 

อย่างกรณีของซีรี่ย์ One Piece ที่สร้างจากการ์ตูนญี่ปุ่นสุดฮิตและฉายบนแพลตฟอร์ม ถือเป็นตัวอย่างที่แสดงถึงจุดแข็งของ Netflix คือ การมีทุนมหาศาลและกล้าลงทุนในการสร้างสื่อหรือภาพยนตร์ที่ตรงตามความชอบของผู้คนในแต่ละพื้นที่ทั่วโลก ซึ่งมันสามารถดึงดูดผู้ใช้ใหม่ได้มากมาย

Paolo Pescatore นักวิเคราะห์ของ PP Foresight กล่าวว่า ความสำเร็จและการเติบโตของ Netflix ในไตรมาสที่ผ่านมาเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า บริษัทสตรีมมิ่งชื่อดังเดินมาถูกทางแล้ว ทั้งเรื่องที่ปราบปรามการแชร์รหัสผ่าน รวมถึงการที่ขยายไปสู่การโฆษณา

เปิดผลกำไรที่ Netflix ได้จากทั่วโลก

รายงานผลประกอบการของ Netflix เผยออกมาว่า ฐานสมาชิกทั่วโลกของบริษัท (ยอดจากสิ้นเดือนกันยายน) มีสูงถึง 247 ล้านราย โดยมีพื้นที่ที่ผู้ใช้ใหม่เพิ่มขึ้นมากที่สุดถึง 4 ล้านคน ได้แก่ ในยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา และมากกว่า 70% ของผู้ใช้ Netflix อาศัยอยู่ในประเทศนอกสหรัฐอเมริกา

Netflix ได้ประกาศรายได้ของบริษัท เผยว่าที่ผ่านมาสามารถทำเงินได้ถึง 8.54 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3 แสนล้านบาท และคาดการณ์ว่าในไตรมาสหน้าจะสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 8.69 พันล้านดอลลาร์ 

ซึ่งเห็นได้ชัดว่า Netflix ยังคงเป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ซึ่งแพลตฟอร์มเดียวที่ Netflix ยังตามหลังอยู่ก็คือ YouTube ซึ่งอ้างอิงจากข้อมูลจากบริษัท Nielsen ซึ่งเป็นบริษัทที่วัดผลการดูทีวี

อ้างอิง: reuters, theverge