สำนักงานนวัตกรรมแหงชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เปิดแผนส่งเสริมนวัตกรรมระดับท้องถิ่นให้เกิดการกระจายโอกาสให้ผู้ประกอบการ บริษัท Startup เข้าถึงนวัตกรรม แหล่งเงินทุน โมเดลการทำธุรกิจเพิ่มมากขึ้น เน้นนำนวัตกรรมเข้าไปใช้ในธุรกิจ วางเป้าหมาย 3 ปีข้างหน้าจะต้องสร้าง Deep Tech Startup 100 ราย และสร้างบริษัทสตาร์ทอัพหน้าใหม่ 3,000 ราย
ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมาสังคมไทยถูกดึงเข้าสู่สังคมในยุค New Normal อย่างกะทันหัน ซึ่ง NIA คาดว่าปัญหาเหล่านี้จะยังคงอยู่ไปอีกหลายปี และส่งผลให้หลายธุรกิจต้องปรับตัวอย่างรุนแรง เนื่องจากปัญหาที่เกิดกระทบต่อโครงการสร้างพื้นฐานทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม และสำหรับปี 2564 การสร้างนวัตกรรมจะไม่ได้ตอบโจทย์แค่ปัญหาการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 เท่านั้น แต่จะสะท้อนไปถึงการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน และลดความเหลื่อมล้ำภายในประเทศ โดยจะเน้นการเสริมพลังและสร้างโอกาสนวัตกรรมท้องถิ่นผ่านความร่วมมือของทุกภาคส่วนทั้งเอกชน รัฐ สถาบันการศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาสังคม เพื่อสร้างให้จังหวัดหัวเมืองกลายเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมในระดับภูมิภาค และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการหรือ Startup ในพื้นที่ได้สร้างสรรค์นวัตกรรมด้วยการส่งเสริมให้เข้าถึงการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยหรืองค์ความรู้ที่มีอยู่ในท้องถิ่น ให้เกิดการจ้างงานภายในภูมิภาคเพื่อสร้างความเท่าเทียม สร้างโอกาสทางนวัตกรรมในพื้นที่ รวมถึงการสนับสนุนให้เกิดการใช้เทคโนโลยีเชิงลึกในภาคธุรกิจให้มากขึ้น
ทั้งนี้ในระยะเวลา 3 ปี(2564-2566) คีย์เวิร์ดที่สำคัญของ NIA คือ การสร้างนวัตกรรมที่มาจากประเทศไทย( Innovation Thailand) ให้มีความชัดเจนที่ไม่เพียงแค่ให้โอกาสทางการเงินแก่ผู้ประกอบการอย่างเดียวเท่านั้น เนื่องจากมองว่าหลังจากนี้เงินจะไม่ใช่เพียงคำตอบเดียวอีกต่อไปแล้ว ถ้าหากเราไม่มีการหยิบยื่นโอกาสทางนวัตกรรมไปสู่ภูมิภาค ก็เปรียบเสมือนว่าเราไม่สามรถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ไปได้อย่างถาวร
โดย NIA ได้วางเป้าหมายว่าในปี 3 ปีจะต้องสามารถสร้าง Deep Tech Startup 100 ราย และสร้างบริษัทสตาร์ทอัพหน้าใหม่ 3,000 ราย จาก 7 กลุ่มอุตสากหรรม ซึ่งแบ่งเป็น 'นวัตกรรมเชิงลึก' ได้แก่ นวัตกรรมเกษตร (Agritech) นวัตกรรมอาหาร (FoodTech) นวัตกรรมที่ใช้ระบบAI Robotic(ARI) นวัตกรรมเชิงพื้นที่(Space) นวัตกรรมสุขภาพ (Healthtech) และ นวัตกรรมเชิงคอนเทนต์ ซึ่งได้แก่ นวัตกรรมด้านศิลปะ (MARtech) และนวัตกรรมท่องเที่ยว (Traveltech)
ดร.พันธุ์อาจ กล่าวต่อว่า สำหรับการส่งเสริมและสนับสนุนนวัตกรรม NIA มีการออกแบบและพัฒนาเครื่องมือต่างๆ ให้ตอบโจทย์การพัฒนาศักยภาพการสร้างสรรค์นวัตกรรมให้ครอบคลุมในทุกกลุ่ม ผ่าน 7 เครื่องมือ ได้แก่
⦁ Incubator/Accelerator ซึ่งมีทั้งมหาวิทยาลัยและภาคเอกชน เพื่อให้ความรู้ บ่มเพาะ และเร่งการเติบโตของผู้ประกอบการหรือสตาร์ทอัพ
⦁ Investment โดย NIA จะเป็นสะพานเชื่อมผู้ประกอบการและสตาร์ทอัพให้เข้าถึงแหล่งลงทุนมากขึ้น ผ่านเครือข่ายนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
⦁ Innovation Organization / Digital / Transformation เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรมีการใช้ระบบดิจิทัล หรือปรับเปลี่ยนธุรกิจตัวเองให้สอดรับกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคม รวมถึงการใช้เครื่องมือในการประเมินองค์กรนวัตกรรม
⦁ SID หรือหน่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมเพื่อสังคม เพื่อบ่มเพาะ ยกระดับและพัฒนาขีดความสามารถด้วยการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ การวิจัย และนวัตกรรม ให้แก่วิสาหกิจเพื่อสังคมหรือผู้ที่สนใจเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสังคมจนสามารถพัฒนาแนวคิดสู่ต้นแบบหรือโครงการนำร่องได้ ผ่านกิจกรรมเครือข่าย การให้ปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญและการบ่มเพาะ
⦁ Grant ผ่านเงินทุนอุดหนุนให้กับผู้ประกอบการหรือสตาร์ทอัพ โดยต้องดำเนินการพร้อมกับแผนธุรกิจเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
⦁ Region / Innovation Hub/ Innovation District เพื่อสร้างให้เกิดการทำงานร่วมกันในแบบเครือข่ายที่เข้มแข็ง ซึ่งถือเป็นการสร้างศักยภาพให้แก่พื้นที่นั้นๆ โดยการสร้างนวัตกรรมเชิงพื้นที่จำเป็นต้องเลือกพื้นที่ที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย
⦁ Entrepreneurial University การส่งเสริมและสนับสนุนนักศึกษาในมหาวิทยาลัย โดยมุ่งเน้นให้ความรู้และความเข้าใจในการทำธุรกิจนวัตกรรม สามารถสร้างโมเดลการทำธุรกิจใหม่ผ่านเครือข่ายมหาวิทยาลัยหลักๆ ตามหัวเมืองใหญ่ของประเทศ เพื่อกระจายความรู้และโอกาสไปยังท้องถิ่น
อย่างไรก็ตาม NIA ตั้งเป้าอยากเห็นผู้ประกอบการที่ได้รับการสนับสนุนสามารถสร้างโมเดลธุรกิจนวัตกรรมให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างพื้นฐานในปัจจุบัน โดย NIA เล็งเห็นถึง 7 นวัตกรรมที่สามารถช่วยเปลี่ยนแปลงประเทศได้ในช่วงที่ระบบนวัตกรรมกำลังเปลี่ยนแปลง ได้แก่
1.นวัตกรรมรูปแบบธุรกิจ (Business Model Innovation) ส่งเสริมให้บริษัทเอกชนหันมาสร้างโมเดลธุรกิจในรูปแบบใหม่ด้วยนวัตกรรม รวมถึงการหาเครื่องมือใหม่ๆ เข้ามาลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจ
2.นวัตกรรมเชิงพื้นที่ (Area-Based Innovation) โดยสร้างให้เกิดหน่วยนวัตกรรมในพื้นที่ที่มีศักยภาพ เพื่อสร้างโอกาสทางนวัตกรรมในระดับภูมิภาค ช่วยให้เกิดการจ้างงาน
3.นวัตกรรมสังคม (Social Innovation) เน้นลดความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ชุมชนเมือง และพื้นที่ห่างไกล ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ผู้คนให้ความสำคัญเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะนวัตกรรมเพื่อสังคมที่เกิดขึ้นในช่วงการระบาดของโควิด-19
4.นวัตกรรมภาครัฐและสาธารณะ (Public-Sector Innovation) เป็นเรื่องใหม่ที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะการสร้างนวัตกรรมในภาคการบริการประชาชน และเปิดโอกาสให้หน่วยงานระดับกรมทำงานใกล้ชิดกับสตาร์ทอัพมากขึ้น เนื่องจากเอสเอ็มอีหลายรายมีความสามารถในการเข้าไปร่วมกับภาครัฐอยู่แล้ว
5.นวัตกรรมข้อมูล (Data-Driven Innovation) ซึ่งเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีความสำคัญสำหรับใช้วิเคราะห์นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ในแต่ละพื้นที่ รวมถึงการวิเคราะห์ว่าพื้นที่ใดมีโอกาสในการเข้าถึงระบบนวัตกรรม โดยผู้ประกอบการหรือสตาร์ทอัพสามารถหยิบข้อมูลไปประกอบการทำธุรกิจได้เลย ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถเปิดให้เข้าถึงข้อมูลได้ประมาณกลางปี 2564
6.นวัตกรรมกระบวนทัศน์ (Paradigm Innovation) เน้นเรื่องการมองอนาคตนวัตกรรม เพื่อคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้น ทำให้สามารถเตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที
7.นวัตกรรมเชิงศิลป์ (Aesthetic Innovation ) ทั้ง ดนตรี ศิลปะ และสันทนาการ โดยเป็นนวัตกรรมที่จะส่งเสริมเพื่อเกาะกระแสความต้องการของคนในสังคมที่เสพคอนเท้นท์บันเทิงต่างๆ เพราะที่ผ่านมาหลายประเทศไม่ว่าจะเป็นจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สามารถสร้างสรรค์จนประสบความสำเร็จและสร้างรายได้มหาศาลกลับเข้าสู่ประเทศ
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด