Stripe ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินสำหรับธุรกิจ วันนี้ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการเติบโตของเศรษฐกิจอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย และเอเชีย โดยเน้นถึงการขยายตลาด และการชำระเงินที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อสนับสนุนการค้าข้ามพรมแดน โดยข้อมูลนี้ได้รับการเผยแพร่ในงาน Stripe Tour Singapore ซึ่งเป็นงานแสดงผลิตภัณฑ์ และเทคโนโลยีประจำปีของ Stripe ภายในภูมิภาค
ในปัจจุบัน ตลาดอีคอมเมิร์ซของประเทศไทยมีผู้บริโภคประมาณ 43.5 ล้านคน โดยสัดส่วนเกือบ 50% ของนักชอปออนไลน์เคยสั่งซื้อของจากต่างประเทศ
คุณศริตา ซิงห์ (Sarita Singh) กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีน และอินเดีย ของ Stripe กล่าวว่า “ในปีที่ผ่านมา รายได้จากการทำธุรกิจข้ามประเทศสำหรับประเทศไทยได้เห็นการเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 65% ต่อยอดจากความสำเร็จนี้ เราได้มอบเครื่องมือ เพื่อเตรียมความพร้อมให้ธุรกิจไทยและเอเชียต่อยอดอัตราการเติบโตของรายได้ เช่น ชุดโซลูชันการรับชำระเงินที่ถูกปรับให้ดียิ่งขึ้น (Optimized Checkout Suite) ที่สามารถแสดงราคาในสกุลเงินท้องถิ่น และมาพร้อมเครื่องมือที่ช่วยป้องกันการฉ้อโกง ทั้งหมดนี้จะช่วยให้ธุรกิจในไทยและเอเชียสร้างรายได้เพิ่มเติมให้กับองค์กร”
ชุดโซลูชันการรับชำระเงินที่ถูกปรับให้ดียิ่งขึ้น (Optimized Checkout Suite) ของ Stripe ซึ่งให้ธุรกิจสามารถสร้างระบบชำระเงินเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะนี้ได้นำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้เพื่อแนะนำรูปแบบการชำระเงินที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละรายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ธุรกิจต่าง ๆ ยังสามารถทำ A/B testing แบบไม่ใช้โค้ดสำหรับเลือกวิธีการชำระเงิน ซึ่งสามารถทำได้บนระบบ Stripe เป็นที่แรกและที่เดียวอีกด้วย
ฟีเจอร์เหล่านี้ช่วยเสริมประสิทธิภาพของ ฟีเจอร์ Adaptive Pricing ที่ Stripe พึ่งเปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจในประเทศไทย ออสเตรเลีย อินเดีย ฮ่องกง ญี่ปุ่น มาเลเซีย นิวซีแลนด์ และสิงคโปร์ สามารถมอบประสบการณ์การชำระเงินที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละประเทศโดยครอบคลุมกว่า 150 ประเทศ อีกทั้งยังช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ ไม่ต้องคำนวณราคาสินค้าเป็นหลายสกุลเงินด้วยตนเอง และไม่ต้องคอยตรวจสอบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่มีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา ข้อมูลจากการศึกษาของ Stripe ยังชี้ให้เห็นว่า หากมีทางเลือก ลูกค้ากว่า 90% เลือกที่จะชำระเงินในสกุลเงินประเทศตนเอง และธุรกิจที่นำฟีเจอร์นี้มาใช้พบว่ารายได้จากการทำธุรกิจข้ามประเทศของตนเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 17.8% และอัตรา conversion ที่เพิ่มขึ้นถึง 8%
นอกจากนี้ Stripe ยังได้เปิดตัวเครื่องมือ AI มาเพื่อป้องกันปัญหาการฉ้อโกง เช่น Radar Assistant ซึ่งช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ สามารถใช้ prompt ที่เป็นภาษาธรรมชาติเพื่ออธิบายคำสั่งเงื่อนไขต่าง ๆ เกี่ยวกับการวางกฎเกณฑ์ตรวจจับการฉ้อโกง และเครื่องมือจะช่วยร่างกฎตามที่ระบุไว้ นอกจากนี้กฎเกณฑ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาจะถูกทดสอบกับข้อมูลการชำระเงินก่อน ๆ เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพในการดักจับการฉ้อโกง เพื่อแสดงรายงานรายได้ที่ถูกต้องแท้จริง
ผู้บริโภคในเอเชียคาดว่าการค้าข้ามพรมแดน จะมีบทบาทในการพัฒนาประสบการณ์การซื้อของออนไลน์ให้กับพวกเขา ผลจากการศึกษาล่าสุดที่จัดทำโดย Stripe พบว่า ภายในปี 2573 ‘สถานที่ตั้งของผู้ค้า’ จะมีความสำคัญน้อยลงในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าสำหรับผู้บริโภคเกินครึ่ง (53%) ในเอเชียแปซิฟิก (APAC)
ภายในงาน Stripe Tour Singapore บริษัท Stripe ได้ประกาศขยายเครือข่ายตลาดไปยังเกาหลีใต้ โดยให้ผู้ค้าในสหรัฐฯ สามารถรองรับการชำระเงินจากลูกค้าในเกาหลีใต้ด้วยความสะดวกยิ่งขึ้น การชำระเงินจะถูกจัดการผ่านระบบการร่วมมือระหว่าง Stripe และ NICEPay ซึ่งมอบประสบการณ์ให้ผู้ซื้อในเกาหลีใต้สามารถชำระเงินด้วยระบบและสกุลเงินท้องถิ่นอย่างสมบูรณ์ ในขณะที่บริษัทในสหรัฐฯ เองสามารถเข้าถึงหนึ่งในตลาดอีคอมเมิร์ซที่แข็งแกร่งที่สุดทั่วโลก ข้อตกลงนี้ประกอบด้วยแบรนด์บัตรกว่า 20 แบรนด์ กระเป๋าเงินท้องถิ่นจำนวนสี่แห่ง และการรายงานกับชำระเงินแบบ end-to-end โดยไม่ต้องให้ธุรกิจผู้ค้าต้องจัดตั้งนิติบุคคลในเกาหลีใต้เลย นอกจากนี้ Stripe ยังเผยถึงแผนการขยายเครือข่ายการชำระเงินรูปแบบท้องถิ่นไปยังประเทศอินโดนีเซียในปีหน้าอีกด้วย
การขยายเครือข่ายตลาดในเอเชียเป็นผลต่อเนื่องมาจากการที่ Stripe ได้ประกาศเพิ่มจำนวนช่องทางการชำระเงินทั่วโลกเป็นสองเท่า จาก 50 เป็น 100 ช่องทาง ที่สามารถเข้าถึงได้ผ่านชุดโซลูชันการรับชำระเงิน Optimized Checkout Suite ของ Stripe ไปเมื่อเร็ว ๆ นี้
Stripe ได้เห็นการเติบโตของจำนวนธุรกิจในเอเชียที่มียอดชำระรวมกว่า 1 ล้านเหรียญสหรัฐต่อวันบนแพลตฟอร์ม ถึง 28% ที่เพิ่มขึ้นปีต่อปี ในทุกๆ วัน ธุรกิจหลายร้อยแห่งในภูมิภาคได้เริ่มการใช้งานบนระบบของ Stripe ซึ่งมากกว่าสองเท่าของจำนวนต่อวันในปี 2563 ธุรกิจเหล่านี้มุ่งเน้นไปที่การขับเคลื่อนการค้าข้ามพรมแดน รวมถึงแบรนด์ จิม ทอมป์สัน (Jim Thompson)
Jim Thompson เป็นแบรนด์ค้าปลีกแฟชั่นของไทย ที่มีชื่อเสียงในด้านผ้าไหมไทย โดยแบรนด์ได้ทำงานร่วมกับ Stripe เพื่อตอบสนองฐานลูกค้าทั้งต่างประเทศและลูกค้าออนไลน์ เพื่อยกระดับประสบการณ์การซื้อของออนไลน์ให้กับลูกค้าและเพิ่มรายได้ออนไลน์มากขึ้น ในขณะนี้ Jim Thompson ใช้ระบบ Stripe เพื่อรองรับระบบชำระเงินของร้านค้าออนไลน์ในสิงคโปร์ ที่พึ่งเปิดตัวไปเมื่อเร็ว ๆ นี้
คุณปัญจรัตน์ ลิมปินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่ธุรกิจการค้า จิม ทอมป์สันได้กล่าวว่า “การพัฒนาประสบการณ์การชำระเงินออนไลน์ให้กับลูกค้าของเราด้วย Stripe ถือเป็นก้าวที่สำคัญสำหรับแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับโลกของเรา เรามั่นใจว่าความร่วมมือครั้งนี้จะยกระดับชื่อเสียงของแบรนด์ที่แข่งแกร่งอยู่แล้ว กลับกลุ่มคนรุ่นใหม่ในรุ่น Millennial และ Gen Z ซึ่งชื่นชอบการซื้อสินค้าออนไลน์”
Jim Thompson เป็นหนึ่งในธุรกิจอีกมากที่ได้รับผลประโยชน์จากการใช้โซลูชันของ Stripe คุณซานเก็ต ชาห์ CEO และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท InVideo กล่าวว่า “InVideo เป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างวีดีโอด้วยเทคโนโลยี AI และมีผู้ใช้งานหลายล้านรายจาก 190 ประเทศทั่วโลก Stripe ได้ช่วยให้เราปรับปรุงระบบการชำระเงินให้มีความราบรื่น ผ่านหลายสกุลเงิน และหลากหลายรูแบบการชำระเงิน อีกทั้งยังช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายและป้องกันการฉ้อโกง ทำให้เราสามารถขยายตลาดไปยังประเทศใหม่ ๆ เช่นหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และแคนาดา ในเวลาเพียงสองเดือน ทั้งหมดนี้ช่วยให้เราประหยัดเวลาของนักพัฒนาได้หลายพันชั่วโมงและประหยัดค่าใช้จ่ายได้หลายล้านเหรียญสหรัฐ”
นอกจากนี้ Stripe ยังได้ประกาศการร่วมมือกับหลายบริษัทในงาน Stripe Tour Singapore รวมถึง LG Electronics ที่ได้เปิดตัวร้านค้าออนไลน์ในสิงคโปร์ และวางแผนที่จะร่วมมือกับ Stripe ในอีกหลายประเทศทั่วโลก M1 Limited ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือชั้นนำในสิงคโปร์และได้ร่วมมือกับ Stripe เพื่อพัฒนาช่องทางในการมอบประสบการณ์ใหม่ให้ผู้บริโภค และ TADA ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเรียกรถในภูมิภาค ที่เลือกใช้บริการของ Stripe ในการขยายธุรกิจสู่ประเทศไทยและตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ลงทะเบียนเข้าสู่ระบบ เพื่ออ่านบทความฟรีไม่จำกัด